ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2551

รัสปูติน สิ้นชาติ


ภาพประกอบโดย : เมืองเพชร137

บทความจาก :: หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ฉบับที่ 177

ขณะนี้มีคำกล่าวว่า เมืองไทยมีอยู่คนหนึ่งที่เป็นคล้ายๆกับ “รัสปูติน” นักบวชที่มีพลังจิตในสมัยพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย รัสปูตินได้รับการยอมรับจากราชวงศ์อย่างมากหลังจากที่สามารถรักษาโรคเลือดไหลไม่หยุดให้กับอเล็กเซีย พระโอรสของพระเจ้าซาร์ และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อพระเจ้าซาร์และองค์พระราชินี จนมีผู้คนกล่าวว่า รัสปูตินเป็นพ่อมดหมอผี เพราะไม่เพียงมีพลังในการกระทำของตัวเองแทบทุกด้าน ทั้งความคิดและกามารมณ์ สามารถมัดใจชายและหญิงที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเขาได้อย่างเหนียวแน่นแล้ว รัสปูตินยังเป็นบุคคลที่ลึกลับและมีหลายบุคลิกภาพที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะการแพทย์ที่ไม่มีวิธีการรักษาให้หายได้

ด้วยเหตุนี้รัสปูตินจึงมีอำนาจและลือไปถึงว่ามีเวทมนตร์ แต่ความสามารถที่ทุกคนเห็นและยอมรับ คือความสามารถในการสะกดจิตให้ผู้คนลุ่มหลง มัวเมา ไร้สติสัมปชัญญะ และพร้อมที่จะทำตามคำสั่ง แต่เนื่องจากรัสปูตินเป็นคนทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง จึงใช้อิทธิพลและความสามารถเพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา โดยรัสปูตินใช้บุคคลชั้นสูงเป็นเส้นทางสู่อำนาจ เพราะรู้ดีว่าการคบค้ากับบุคคลชั้นสูง และดึงให้มาเป็นพวกพ้องได้ ก็คือการเข้าใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจ ทั้งการเงินและการเมือง อีกทั้งปลุกระดมให้บรรดาขุนนางทั้งหลายคล้อยตาม และเป็นเครื่องมือตอบสนองตัณหาส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมใดๆ จนเขาถูกเปรียบเป็นเจ้าแห่งลัทธิซาตาน

อย่างไรก็ตาม รัสปูตินก็ถูกสำเร็จโทษหลังจากได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้บริหารราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าซาร์ เพราะเหิมเกริมต่ออำนาจจนแผ่นดินรัสเซียลุกเป็นไฟ และในที่สุดก็จบลงด้วยการสิ้นสุดของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย

แม้จะเป็นเหตุการณ์ในอดีต แต่ก็เป็นเรื่องราวโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นอุทาหรณ์ให้โลกตระหนักถึงลัทธิซาตาน บุคคลที่มีความแปลกแยก แต่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจและคำพูดที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ สามารถทำให้ผู้คนรอบข้าง แม้แต้บ้านเมืองก็พังพินาศได้

ที่น่าสนใจคือ การนำรัสปูตินมาเปรียบเทียบกับวิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่คลั่งไคล้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยกให้เป็นเยี่ยงศาสดา

พันธมิตรฯกับรัสปูติน

นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ “โลกวันนี้” ที่มีการเปรียบเทียบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับรัสปูตินว่าคนพวกนี้มีทั้งคนที่เป็นนักสื่อสารมวลชน รู้เกี่ยวกับวิธีการใช้ข่าวสารข้อมูลในการโฆษณาชวนเชื่อ และใช้การโฆษณาชวนเชื่อแบบย้ำคิดย้ำทำ มีทั้งนักเคลื่อนไหวมวลชนในอดีตที่เคยร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) .และนักการทหารที่ทำงานในยุทธวิธีสงครามจิตวิทยามวลชน เพราะฉะนั้นคนพวกนี้รู้ว่าในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสะกดจิตโดยใช้ข่าวสารข้อมูล การล้างสมอง การครอบงำความคิดคนในทางความเชื่อและอุดมการณ์ โดยการพูด ย้ำคิดย้ำทำไปเรื่อยๆ ซึ่งมีความชำนาญอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับรัสปูติน หรือเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อแบบของพรรคนาซี หรือกลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อแบบของอเมริกาในสมัยลัทธิแมคคาธี

“พวกนี้จริงๆใช้เทคนิคคล้ายๆกัน มีตำรา มีวิธีการในทางวิชาการ เช่น ในสังคมวิทยาเรียกว่าการขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้คนคล้อยตาม แล้วคนก็เหมือนกับตกอยู่ในสภาวะที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่าเป็นสาวกที่พร้อมจะรับคำสั่งไปทำสิ่งต่างๆร่วมกัน พวกนี้จะไม่ทำเดี่ยวๆ แต่มักจะทำพร้อมๆกันถึงจะมีความกล้า ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำเดี่ยวแบบเอาอาวุธติดตัวไปฆ่าตัวตาย หรือระเบิดพลีชีพ”

นายวรพลยอมรับว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรฯที่ใช้ยุทธวิธีนี้อันตรายมาก เพราะไม่ใช่เฉพาะสันติอโศกที่มีลักษณะในการพยายามเผยแพร่ลัทธิความคิดครอบงำ แต่ทุกส่วนที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรฯที่มีพฤติกรรมคล้ายๆกันคือถูกสะกดจิตหมู่

“ในทางวิชาการสะกดจิตด้วยข่าวสารข้อมูลสมัยใหม่ และด้วยเครื่องมือต่างๆ ผมมองว่าการเตรียมการของกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อใช้ประกอบการลุกฮือครั้งใหญ่หลังจากที่มีการทดสอบการลุกฮือย่อยๆหลายครั้งตามสถานที่ราชการต่างๆมาแล้ว”

ก่อจลาจลลุกฮือใหญ่ทั่วประเทศ

นายวรพลมั่นใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯมีแผนที่จะปฏิบัติการลุกฮือพร้อมๆกันครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อทำให้เกิดการจลาจลหรือสงครามกลางเมือง เพื่อเอาชนะให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเป็นจุดอันตรายที่ว่า ถ้าทำสำเร็จทิศทางจะไปสู่การปกครองแบบเผด็จการกึ่งอนาธิปไตยแบบเขมรแดงสมัยพอล พต ที่จะมีการล้างผลาญฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่ และคนต้องหนีตายกัน หรือเปรียบเทียบเหมือนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ ตรงนี้ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็น ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย ที่สำคัญคนพวกนี้รู้เรื่องประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี พร้อมจะเคลื่อนไหวโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ แม้จะเป็นการละเมิดกฎหมายได้ตลอด เป็นเรื่องที่น่าห่วงและอันตรายมาก

“ผมยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย แต่ทำเพื่ออำนาจของกลุ่มตัวเอง และคนกลุ่มนี้ไม่เหมือนลัทธิคลั่งศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่คลั่งอุดมการณ์และความเชื่อต่างๆ เป็นความเชื่อที่เขาคลั่งจนบดบังข้อเท็จจริงต่างๆ ถ้ามีสติสัมปชัญญะไตร่ตรองแบบปรกติ คนที่เข้าไปร่วมก็จะต้องรู้ว่าการบุกและทำลายสถานที่ราชการเป็นความผิดทั้งในด้านคุณธรรมและกฎหมาย แต่คนพวกนี้ก็มองข้าม ไม่สนใจว่าเป็นความผิด ความไม่ดี กลับมองว่าจะต้องทำให้ได้ เมื่อทำได้แล้วก็จะขู่ให้ลุกลามใหญ่โตมากขึ้น คนที่ยังยับยั้งชั่งใจได้และไม่ได้เข้าร่วม ก็ไม่ได้ออกมาขัดขวาง พวกนี้ก็ยิ่งได้กำลังใจ แต่หากประชาชนฝ่ายอื่นไปขัดขวางหรือร่วมรับความรุนแรงก็เข้าทางกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องการให้เกิดกลียุค”

ต้องยึดมั่นในสถาบันกษัตริย์

นายวรพลกล่าวและเตือนสติคนไทยทั่วประเทศว่า อย่าแยกตัวออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ มีข้อมูลอะไรปรากฏก็ตาม การต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตยครั้งนี้ต้องต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดิน พร้อมกับรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มพันธมิตรฯพยายามจะแยกประชาชนให้ออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการกล่าวหาใส่ร้ายประชาชนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดี ตรงนี้ต้องระมัดระวัง ต้องชี้แจงและอธิบายว่าประชาชนที่คัดค้านกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นประชาชนที่พร้อมจะพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่พิจารณาอย่างละเอียดตามข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่แยกเป็นข้อๆให้ดี ประชาชนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ก็จะตกเป็นเหยื่อทางความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ต้องการให้ประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลและ นปช. เกิดความระแวงคลางแคลงในสถาบัน

ปิศาจวิทยาของความขัดแย้ง

ขณะที่เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมนั้น นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าการปลุกอารมณ์แบบนี้ สังคมจะเป็นอันตรายมาก เพราะเงื่อนไขของความรุนแรงทุกแห่งในโลกมันมีเงื่อนไข 2-3 ข้อ แต่ข้อที่สำคัญมากสำหรับสังคมไทย คือการบอกว่าฝ่ายที่ขัดแย้งกับเรามันเลว ไม่ใช่มนุษย์ เป็นมาร เป็นปิศาจชั่วร้าย

“เขาเรียกว่าปิศาจวิทยาของความขัดแย้ง คือกระบวนการที่เปลี่ยนคนซึ่งเห็นตรงข้ามกับเราให้เป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ ใครทำอันนี้ก็แปลว่า เปิดประตูให้กับความรุนแรง พร้อมที่จะเข้ามา มันสร้างเงื่อนไขไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ว่าความขัดแย้งจะเป็นอะไร มันเกิดขึ้นทุกแห่งในโลก โคโซโว, รวันดา เวลานี้ในสังคมไทยกำลังใส่อันนี้มากเกินไป อันที่สองคือความเชื่อที่บอกว่า ไม่ว่าตัวเองจะพูดว่าอะไร ในที่สุดก็จะต้องใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา คือคล้ายๆเป็นว่ามาถึงจุดหนึ่ง ถึงแม้จะอย่างไร มีอาวุธอยู่ในกระเป๋า ผมชักธงสันติวิธี สมมุตินะ ผมชักธงสันติวิธี บนธงเขียนว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าปลายธงมันแหลม ถึงเวลาหนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะใช้อันนี้ ตำรวจบอกว่าใช้โล่ ไม่ใช้อาวุธอะไรเลย แต่โล่ใช้อัดคนจนหายใจไม่ออกก็ได้ ถ้าจะทำ ทั้งหมดนี้กลายเป็นว่า ถ้าเราเชื่อว่าสังคมนี้ไม่มีทางออก ความรุนแรงก็ยังจะเกิดขึ้น คำถามของผมต่อสังคมไทยก็คือ เราได้สร้างสังคมมาถึงจุดนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นความจริง คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ แล้วต่อจากนี้จะอยู่กันอย่างไร"

รักในหลวงต้องหยุดทั้ง 2 ฝ่าย

นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เห็นว่าการเปรียบเทียบกลุ่มพันธมิตรฯกับรัสปูตินนั้น จะนำประวัติศาสตร์ต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยไม่ได้ แม้แกนนำบางคนจะทำตัวเป็นศาสดาเหมือนรัสปูติน พยายามปลุกปั่นและชี้นำผู้ชุมนุมก็ต้องปล่อยไป เพราะประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยึดเหนี่ยว และประชาชนส่วนใหญ่เคารพกษัตริย์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวอะไร เพียงแต่ต้องรีบหยุดการทะเลาะกันให้ได้ ที่ทำให้ประเทศเสียหาย เพราะการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย และขณะนี้กลุ่มพันธมิตรฯก็ไม่ยอมรับประชาธิปไตย ฝ่ายรัฐบาลและนักการเมืองก็มีปัญหา ก็ยุบทั้ง 2 ฝ่ายจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของแกนนำพันธมิตรฯคืออะไร แม้แต่การเมืองใหม่ก็เกิดภายหลัง เมื่อก่อนเพียงแต่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเดียว ความต้องการของกลุ่มพันธมิตรฯมีมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงคืออะไร

“ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ไทยอย่างเดียวเราก็แก้ปัญหาได้แล้ว เพราะสภาพสังคมของต่างประเทศ ทัศนคติ สิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะแก้ปัญหาต้องแก้จากประวัติศาสตร์ไทยเราเอง โดยเฉพาะระบอบกษัตริย์ไทยอยู่เหนือการเมือง ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องนำมาพูดถึง เพราะเป็นที่เคารพสักการะอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม มีทหารของพระเจ้าอยู่หัว ประชาชนรักและเทิดทูน ยิ่งพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันทรงเสียสละยิ่งกว่าอื่นใดทั้งหมด ทั้งพระวรกาย พระราชทรัพย์ และจิตใจ เพื่อประชาชนของพระองค์ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้จึงสุดประเสริฐแล้ว ประชาชนต่างรักและเทิดทูนยิ่ง ดังนั้น ถ้ารักพระองค์จริง เราต้องหยุดทั้ง 2 ฝ่าย

รู้แก่นแท้-แก้ด้วยสันติวิธี

ขณะที่นายพิชัย รัตนพล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กลับมองว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯไม่เกี่ยวกับลัทธิคลั่งศาสนาหรือถูกครอบงำเหมือนรัสปูติน แต่เกิดจากศรัทธาและเชื่อในตัวเองเพื่อไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจใดๆจนถึงขั้นยอมตายได้ เพียงแต่แกนนำพันธมิตรฯอาจมีความมุ่งมั่นเกินมนุษย์ธรรมดา มีความจงรักภักดี และมีความรู้สึกรักชาติมากจนกระทั่งไม่เข้าใจตัวเองก็ได้ แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับรัสปูตินถือว่าไม่ถูกต้อง

นายพิชัยจึงมั่นใจว่ารัสปูตินจะไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย แต่ก็เป็นห่วงความรุนแรงที่จะทวีมากขึ้น เพราะขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลและข้อเท็จจริง พร้อมจะใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าอารมณ์ของสังคมขณะนี้อ่อนไหวมาก ถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปสังคมต้องพังอย่างแน่นอน

นายพิชัยยืนยันว่า ต้องแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี สิ่งแรกสังคมไทยต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไรและไปไหนแล้ว อย่าโทษตัวคน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมของสังคมไทยที่มีมานาน แต่ยังตั้งโจทย์ไม่ถูกว่าคืออะไร เหมือนปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ตายและบาดเจ็บเกือบหมื่นแล้วแต่รัฐยังไม่รู้ว่าโจทย์คืออะไร ขณะที่สังคมไทยก็ทะเลาะกัน ตีกันเกือบทุกวัน ยังไม่รู้ว่าแก่นแท้คืออะไร รู้แต่เพียงว่าเป็นพวกใคร

ปรากฏการณ์สนธิ

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายสนธิก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ปรากฏการณ์สนธิที่ผ่านมากว่า 3 ปีนั้นคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหากนายสนธิไม่สามารถทำให้ผู้คนนับแสนศรัทธาและคลั่งไคล้ได้อย่างแท้จริงแล้วก็คงไม่สามารถล้มรัฐบาลทักษิณที่ถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดรัฐบาลหนึ่งลงได้

แม้ขณะนี้จะมีแกนนำพันธมิตรฯหลายคน แต่แกนนำสำคัญที่ถือว่าผู้ชุมนุมให้การยอมรับก็มีเพียง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คนเดียว แต่การปราศรัยและการออกมาแสดงพลังที่ผ่านมานายสนธิถือว่ามีความโดดเด่นและชี้นำผู้ชุมนุมได้มากกว่า พล.ต.จำลอง ไม่ใช่เพียงคำพูดที่แข็งกร้าวและดุเดือดเท่านั้น แต่หลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่านายสนธิคือผู้กำหนดทิศทางที่แท้จริงของพันธมิตรฯ แม้แกนนำพันธมิตรฯบางคนจะไม่เห็นด้วยหรือมีความเห็นต่างออกไปก็ต้องเสียงอ่อนและให้เป็นไปตามตามความเห็นของนายสนธิ

“สนธิ” มีตาทิพย์รู้ล่วงหน้า

มีบางคนมองว่านายสนธิไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่อาจเชื่อว่าเป็นศาสดาหรือพระเจ้า เพราะจากคำปราศรัยของนายสนธิหลังจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ที่ว่า

“พี่น้อง ผมอาจจะเป็นยังไงก็ตาม แต่มีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งผมมีมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ครูอาจารย์ก็พูดกับผมตลอดว่าผมมักจะมีลางสังหรณ์สัญชาตญาณ เหมือนกับว่าผมมีตาทิพย์ มองเห็นล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมถึงเตือนพี่น้องมาหลายครั้ง ทุกๆครั้งที่ผมพูดไม่เคยผิดแม้แต่ครั้งเดียว”

แต่ที่น่ากลัวคือคำประกาศของนายสนธิที่ปลุกเร้าผู้ชุมนุมที่ส่งเสียงขานรับดังกระหึ่มเมื่อครั้งที่ถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏและศาลมีหมายจับ ซึ่งแกนนำทั้งหมดได้ใช้ผู้ชุมนุมทั้งสาวกสันติอโศก ผู้หญิง และผู้ชายเป็นโล่มนุษย์ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุม ก็ประกาศท้าทายรัฐบาลว่าให้เข้ามาจับหากต้องการให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ

จากรัสปูตินถึงลัทธิอุบาทว์

วิกฤตการเมืองในขณะนี้จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแกนนำพันธมิตรฯที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือนายสนธิ อาจเป็นเพราะคำพูดที่โดนใจและเป็นที่มัดใจผู้ชุมนุม นายสนธิจึงไม่ต่างอะไรกับศาสดาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากเป็นเช่นผู้นำศาสนาหรือผู้นำการเมืองที่ยึดมั่นในสันติภาพและสันติวิธีอย่างมหาตมะ คานธี ก็ไม่มีใครวิตกกังวล

แต่สถานการณ์ที่ผ่านมากว่า 3 ปีนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองและประชาชนมหาศาล โดยเฉพาะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตายและบาดเจ็บไปมากมาย และยังมีความเสี่ยงสูงที่จะมีความสูญเสียอีกในอนาคต จึงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศจะเกิดโศกนาฏกรรมอย่างเจ้าลัทธิต่างๆในอดีต ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดแห่งรัสเซีย-รัสปูติน ลัทธิจิมส์ โจนส์ หรือลัทธิโอม ชินริเกียว

แม้ว่าเจ้าลัทธิจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการทำให้ผู้คนจำนวนมากอยู่ในอำนาจ เชื่ออย่างคลั่งไคล้ และพร้อมจะทำอะไรก็ได้ตามที่ผู้นำสั่ง อย่างกรณีจิมส์ โจนส์ ที่เชื่อว่าสามารถสร้าง “ยูโทเปีย” ได้ และช็อกโลกด้วยการทำให้สาวก 914 คนพร้อมใจกันกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพื่อสร้างสังคมยุคพระศรีอาริย์ในภพหน้า (ยุคพระศรีอาริย์ตามความเชื่อของชาวพุทธคือ ยุคพระพุทธเจ้าจุติเป็นชาติที่ 10 ซึ่งปัจจุบันเป็นชาติที่ 9)

หรือกรณีนายโชโกะ อาซาฮาร่า วัย 51 ปี ผู้นำลัทธิโอม ชินริเกียว ซึ่งมีสาวกนับหมื่นในญี่ปุ่นและรัสเซีย ที่สอนให้ฝึกจิต สมาธิ และโยคะ เพื่อให้รู้แจ้ง โดยมีความเชื่อเรื่องโลกาวินาศและพยากรณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติในญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 3 พร้อมกับสร้างโศกนาฏกรรมด้วยการให้สาวกปล่อยแก๊สพิษซารินโจมตีสถานีรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน และบาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน

“สนธิ” ผู้นำลัทธิพันธมิตรฯ

วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะยุติอย่างไร แม้แต่ผู้นำรัฐบาล ผู้นำกองทัพ ผู้นำองค์กรต่างๆในสังคมก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะทุกหน้าของการเมืองสามารถออกได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการยอมถอยคนละก้าว หรือการใช้ความรุนแรงที่สังเวยชีวิตผู้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เช่นเดียวกับกรณีเจ้าลัทธิต่างๆของโลกที่ทำให้คนนับพันนับหมื่นไปตายเพียงเพราะความเชื่อและความคลั่งในตัวผู้นำ

คำประกาศอันน่าสะพรึงกลัวของนายสนธิบนเวทีพันธมิตรฯที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อทุกประเภท ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ทุกประเภท ได้กระทบโสตประสาทของคนไทยทั่วประเทศและทั่วโลก ไม่ต่างอะไรกับการสะกดจิตของศาสดาพันธุ์ใหม่ในโลกยุคดิจิตอล...

“พี่น้องแกนนำทั้งหลายไม่มีใครกลัวตาย ไม่มี พี่น้องสบายใจได้ แต่ถ้าพวกเราบางคนจะต้องตาย พี่น้องสัญญาอย่าง ต้องให้แผ่นดินนี้ลุกขึ้นเป็นไฟให้ได้”

ฤๅถึงคราสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินแล้วจริงๆ

ใช่ไม่ใช่...พี่น้อง!!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก