ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2551

สลายม็อบ 7 ต.ค. ในสายตานักข่าวต่างชาติ

สลายม็อบ 7 ต.ค. ในสายตานักข่าวต่างชาติ

เหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา ยังเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และแตกต่างกันค่อนข้างมาก ใครที่เอนเอียงไปทางไหนก็มักจะพูดเข้าข้างฝ่ายนั้น แต่เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ ยังมีผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศร่วมอยู่ในเหตุการณ์เพื่อรายงานข่าวด้วย

เมื่อฝ่ายตำรวจพูดอย่างหนึ่ง พันธมิตรฯพูดอย่างหนึ่ง นักวิชาการ นักการเมือง ผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายพูดอีกอย่างหนึ่ง ในมุมของคนทำข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เพราะผู้สื่อข่าวต่างประเทศไม่เลือกข้าง นำเสนอข่าวสารอย่างที่พวกเขาพบและเห็น

Nick Nostitz ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ NewMandala http://rspas.anu.edu.au/rmap/newmandala/2008/10/11/what-happened-on-7102008/#more-3196

และจากนี้ไปคือคำแปลบันทึกเหตุการณ์ของผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนนี้

เกมแห่งม่านหมอก

ในเกมแห่งม่านหมอกและกระจกเงา ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามสร้างภาพ เพื่อบอกกับสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551

ในบทความชิ้นนี้ผมจะพยายามบรรยายสิ่งที่ผมเห็น และความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้อ้างว่าผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมอยู่ที่นั่นระหว่างตี 5 ถึง 5 ทุ่มเท่านั้น โดยได้ปลีกตัวออกมาชั่วคราวในช่วงเที่ยงและช่วงระหว่าง 13.00-16.00 น. เพื่อส่งรูปถ่ายไปยังสำนักงาน และหลับตาไปอีกราว 30 นาที ฉะนั้นผมจึงไม่สามารถอยู่ในทุกที่ในช่วงเวลาเดียวกันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ที่ห่างออกไปแม้เพียง 100 เมตรก็ตาม

เตือนก่อนเข้าสลาย

การโจมตีโดยตำรวจเริ่มประมาณ 06.00 น. ในขณะนั้นผมอยู่ในพื้นที่ที่ฝ่ายพันธมิตรฯยึดครองไว้ ทันทีที่ผมเห็นตำรวจตั้งแถวเพื่อเตรียมโจมตี ผมรีบออกจากจุดนั้นเพื่อไปอยู่ตรงด้านหน้าของแถวตำรวจแทน ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้น เพราะผมรู้ว่าหากตำรวจต้องการสลายการชุมนุมจะต้องมีการใช้กำลังอย่างหนัก

ตำรวจได้ใช้รถบรรทุกที่ติดเครื่องขยายเสียงประกาศเตือนให้ผู้ชุมนุมสลายตัวเพราะกำลังจะถูกโจมตี และจะมีการยิงแก๊สน้ำตา ตำรวจได้ประกาศเตือนอย่างต่อเนื่อง และยังกล่าวว่าในความขัดแย้งครั้งนี้ยากที่จะมีใครเป็นผู้ชนะ พวกเราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ควรมาสู้กันเอง

ผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว และหลังจากนั้นไม่นานการโจมตีก็เริ่มขึ้นด้วยการระดมยิงแก๊สน้ำตา

ต่างฝ่ายต่างโยนเข้าหากัน

มันเริ่มจากทั้งด้านถนนราชวิถีและถนนพิชัย (ผมอยู่ที่นี่) ผมเห็นลูกระเบิดแก๊สน้ำตาระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อปะทะเข้ากับแนวกั้นยางรถยนต์ ยางบางเส้นถึงขนาดกระเด็นสูงจากพื้น 2-3 ฟุต ผู้ชุมนุมต่างพากันวิ่งหนีโดยเร็ว ผมเดินตามหลังตำรวจที่อยู่แถวหน้า มีการต่อสู้ระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก มีการโยนลูกระเบิดแก๊สน้ำตาโดยตำรวจเล็กน้อย (ผมเดาเช่นนั้น ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้) และผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็โยนวัตถุระเบิดเข้าใส่ตำรวจเช่นกัน มันอาจเป็นประทัดหรือระเบิดปิงปองก็ได้ ในช่วงเวลาที่เร่งร้อนและเต็มไปด้วยหมอกควันนี้ เป็นการยากที่จะเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแน่ ควันจากแก๊สน้ำตาทำให้คนตาพร่าไปหมด

ผู้ชุมนุมขาขาด

นอกจากนี้มีตำรวจไม่กี่คนที่มีหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา พวกเขาจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ตลอดช่วงเวลานี้ตำรวจได้ป่าวประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงขอให้ผู้ชุมหยุดการต่อสู้ และทันทีที่ผู้ชุมนุมหยุด และนั่งลงที่ถนน ตำรวจก็สามารถบรรลุเป้าหมาย คือเปิดประตูรัฐสภาได้สำเร็จ

ถึงตอนนี้ผมจึงได้เห็นว่ามีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บสาหัส ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น โดยขาข้างซ้ายถูกระเบิดขาดตั้งแต่หัวเข่าลงไป มีผิวหนังสองสามเส้นเชื่อมขาที่ตกอยู่ข้างๆ เขาถูกห้อมล้อมโดยตำรวจที่ก็ตกใจกับสภาพที่เห็นเช่นกัน ตำรวจบางคนพยายามปลอบเขา ยังมีผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2-3 คนในบริเวณนั้น

แก๊สน้ำตากลายเป็นระเบิดได้

ไม่นานหลังจากนั้นรถพยาบาลได้นำชายคนนั้นและผู้บาดเจ็บคนอื่นขึ้นรถไป ภายในรัฐสภามีนักข่าววิทยุได้รับบาดเจ็บที่หลัง ผิวบางส่วนเปิดออก เลือดไหลและไหม้อย่างรุนแรง ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) นายหนึ่งเข้าไปปลอบขวัญเขา

เมื่อสถานการณ์สงบลง ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องคนบาดเจ็บ พวกเขาล้วนตกใจกันทั้งนั้น หน่วยยิงแก๊สน้ำตาอธิบายว่า ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง การยิงแก๊สน้ำตาอาจก่อให้เกิดแรงระเบิดที่สูงได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดขึ้นในเวลาที่คนอยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่น

ผมใช้เวลาอยู่ในบริเวณนั้นอีกพักหนึ่ง นั่งอยู่ภายในตึกรัฐสภา แล้วก็เดินไปที่แยกถนนราชวิถี-สามเสน อันเป็นบริเวณที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯกำลังรวมตัวกันอยู่

โยนระเบิดเข้า บช.น.

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประมาณ 10.00 น. ผมเดินไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตรงหัวมุมลานพระบรมรูปทรงม้า ทันทีที่ไปถึงฝ่ายพันธมิตรฯก็เริ่มการโจมตี พวกเขาโยนระเบิดปิงปอง (หรืออาจเป็นลูกระเบิดแก๊สน้ำตา) เข้าไปยังพื้นที่ของ บช.น. และเข้าใส่ตำรวจ พวกเขาใช้หนังสติ๊กระดมยิงลูกเหล็กและลูกแก้วเข้าใส่ตำรวจ ช่วงขณะหนึ่งผมได้ยินเสียงระเบิด ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นเสียงกระสุนปืนที่ยิงผ่านไปอยู่รอบตัวผม (เสียงของลูกกระสุนปืนที่พุ่งผ่านไปต่างกับเสียงของลูกกระสุนที่ยิงโดยหนังสติ๊กอย่างชัดเจน) ผมซ่อนอยู่ข้างหลังรถคันหนึ่ง และขณะที่กำลังโทรศัพท์หาเพื่อนนักข่าวที่ชื่อนิรมาล กอช จาก the Straits Times ผมก็ถูกยิงด้วยลูกเหล็กเข้าที่ท้อง ขณะที่ตำรวจก็ยิงแก๊สน้ำตาเช่นกัน

หลังจากสงบสติอารมณ์สักพักหนึ่ง ผมก็ตามตำรวจที่ล่าถอยเข้าไปในพื้นที่ของ บช.น. หลังจากนั้นสถานการณ์ก็สงบลงชั่วคราว ผมจึงกลับบ้านเพื่อจัดการส่งภาพถ่ายให้สำนักงาน เมื่อถึงตอนนี้ตำรวจได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบๆรัฐสภาให้กับพวกพันธมิตรฯไป

ตร. เปิดทางให้ ส.ส.-ขรก.

ผมได้รับโทรศัพท์ในช่วงบ่ายว่าเกิดการปะทะกันอีกครั้งเมื่อตำรวจต้องเปิดประตูรัฐสภาด้านถนนราชวิถีอีกครั้ง ผมมาจากทางถนนร่วมจิตแล้วก็ต้องติดอยู่กับด้านผู้ชุมนุมที่กำลังถูกตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ โดยตำรวจพยายามตอบโต้การโจมตีของฝ่ายพันธมิตรฯ ระเบิดแก๊สน้ำตาลูกหนึ่งตกลงมาห่างจากผมราว 1 เมตร ตอนที่ผมกำลังวิ่งอยู่ มันส่งเสียงระเบิดกึกก้องทีเดียว

ผมวิ่งมาถึงเส้นที่จะข้ามไปยังพื้นที่ที่ตำรวจยึดครองอยู่ (ตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาลูกหนึ่งใส่ผม เพราะเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้ชุมนุม แต่ก็หยุดหลังจากที่ผมตะโกนซ้ำๆกันว่าผมเป็นผู้สื่อข่าว และยกกล้องให้ดู)

ผมอยู่ตรงหัวถนนนั้นจนตกดึก ตำรวจต้องป้องกันหัวมุมถนนด้านนี้ไว้เพื่อให้ข้าชการ ลูกจ้าง และ ส.ส. สามารถออกจากรัฐสภาได้ ตรงจุดข้ามถนนต้องเจอกับการโจมตีจากฝ่ายพันธมิตรฯอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาระดมยิงลูกเหล็ก ลูกแก้ว ตำรวจจึงตอบโต้การโจมตีด้วยการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา มีการยิงเข้าใส่ตำรวจที่อยู่ตรงหัวมุมถนนเป็นช่วงๆ โดยยิงมาจากสถาบันราชภัฏ

พันธมิตรฯขับรถชนตำรวจ

ตำรวจได้ขอให้พวกพันธมิตรฯที่หลบซ่อนอยู่ในตึกโดยรอบออกมา ตำรวจตะโกนบอกว่าจะไม่ทำอะไรผู้ชุมนุมที่ออกมา ผมเห็นหลายคนเดินออกมาโดยตำรวจไม่ได้ทำอะไรพวกเขา สถานการณ์ที่เหนือจริงอันหนึ่งก็คือ เพื่อนของผมซึ่งเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มพันธมิตรฯก็เดินออกจากตึกเหล่านั้นด้วย

หลังจากนั้นสถานการณ์ก็ตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาตลอดเวลา ทั้งตรงจุดนั้นและแถวหัวมุมถนนที่ใกล้กับประตูใหญ่รัฐสภา ช่วงขณะหนึ่งฝ่ายพันธมิตรฯพยายามขับรถบรรทุกตรงเข้ามายังตำรวจที่อยู่ตรงถนนร่วมจิต พวกตำรวจจึงรีบตั้งเครื่องกีดขวางและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่รถบรรทุกทันก่อนที่รถจะชนตำรวจ คนขับถูกตำรวจนำตัวไป


พันธมิตรฯยิงตำรวจ

ผมถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บหลังจากถูกฝ่ายพันธมิตรฯใช้ปืนสั้นยิงเข้าใส่บริเวณหัวมุมตึกรัฐสภา และตำรวจที่ถูกรถปิกอัพพุ่งชนโดยตั้งใจ

มีข่าวออกมาจากรัฐสภาว่าฝ่ายพันธมิตรฯยิงตำรวจ 3 นาย พวกเขาอยู่ในตึกรัฐสภา และไม่ยอมให้รถพยาบาลเข้าไปรับคนเจ็บ มีคนวิ่งข้ามถนนจากรัฐสภาเพื่อหนีออกมาจากบริเวณนั้นตลอดเวลา

เมื่อฟ้ามืดลง บริเวณนี้ก็สงบลง ผมเดินกลับไปที่ บช.น. ซึ่งกำลังเจอกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรฯ ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา พันธมิตรฯใช้หนังสติ๊ก เสียงกระสุนปะทะกับโล่กำบังและพื้นถนนตลอดเวลา ครั้งนี้ผมโชคดีที่ไม่ถูกยิงอีก เห็นได้ชัดว่าฝ่ายพันธมิตรฯยิงปืนออกไปเป็นครั้งคราวเช่นกัน แต่ผมก็ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่นอน มันน่ากลัวมากทีเดียว มีความพยายามขับรถยนต์และรถบรรทุกเข้าชนแนวกีดขวาง แต่ตำรวจสกัดกั้นไว้ได้

ทหารเข้าสังเกตการณ์

ช่วงขณะหนึ่งฝ่ายผู้ชุมนุม 1 หรือ 2 คนได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เพียงเห็นจากภาพถ่ายของช่างภาพไทยคนหนึ่ง สถานการณ์ในตอนนี้สงบลงเล็กน้อย ตำรวจสามารถยึดแนวกีดขวางตรงหัวมุมลานพระบรมรูปทรงม้ากลับมาได้ รถปิกอัพที่มีคนพยายามขับชนตำรวจจอดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ตำรวจลากชาย 2 คนออกมาจากข้างหลังและเล่นงานพวกเขาเล็กน้อย ผู้หญิงที่บาดเจ็บคนหนึ่งนอนอยู่บนถนนและมีหมอทหารมารับไป

รถฮัมวีของทหารคันหนึ่งวิ่งสังเกตสถานการณ์โดยรอบ และจอดตรงแถวตำรวจครู่หนึ่งก่อนจะต่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า

ต่างฝ่ายต่างหยุด

หลัง 22.00 น. สถานการณ์เริ่มอยู่ในความควบคุมมากขึ้น ฝ่ายพันธมิตรฯมีคนน้อยกว่ามาก ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม สักครู่มีชายใส่ชุดพรางกายทหาร ซึ่งอาจเป็นทหารประจำการหรือนอกราชการที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรฯก็ไม่รู้แน่ เดินมายังแนวลวดหนามและเจรจากับตำรวจชั่วครู่

ตำรวจตอบว่าจะหยุดยิงแก๊สน้ำตาหากฝ่ายพันธมิตรฯหยุดยิงหนังสติ๊กและโจมตีตำรวจ ตำรวจเพียงแค่ตอบโต้การโจมตีเท่านั้น

หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็อยู่ในความสงบ มีกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 100 คนที่ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวลานพระรูปฯ ผมจึงกลับบ้าน

ตำรวจใช้เครื่องมือเท่าที่มี

ขณะนี้มีการถกเถียงกันว่าตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุหรือไม่ รวมถึงการใช้แก๊สน้ำตาด้วย จากสิ่งที่ผมเห็นเชื่อว่าตำรวจไม่มีทางเลือกอื่น คุณอาจโทษว่าเป็นเพราะงบประมาณตำรวจที่น่าเวทนา ทำให้พวกเขาไม่มีระเบิดแก๊สน้ำตาที่ก่ออันตรายน้อยกว่านี้ใช้ก็ได้ แต่อย่าโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นเลย ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยเครื่องมือที่มีให้พวกเขา และในกรณีนี้ก็คือเครื่องมือที่ทำในรัสเซีย

ถามว่าการบาดเจ็บมีสาเหตุจากระเบิดของฝ่ายพันธมิตรฯหรือไม่? ตอบตามตรงผมไม่รู้ รู้แต่ว่ามีการโยนระเบิดโดยผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯบางคนเท่านั้น

ไม่มีแก๊สน้ำตาอะไรจะเกิดขึ้น

การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ฝ่ายพันธมิตรฯใช้อาวุธที่อันตราย ถ้าตำรวจไม่ใช้แก๊สน้ำตาสถานการณ์อาจย่ำแย่จนนำไปสู่การปะทะตัวต่อตัวระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม และหากเป็นเช่นนั้นผมมั่นใจว่าจะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายสูญเสียชีวิตมากขึ้น ฝ่ายพันธมิตรฯมีปืนสั้นจำนวนหนึ่ง ตำรวจ 1 หรือ 2 นายถูกแทงด้วยปลายเสาธง ฉะนั้นจึงไม่อยากจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากแก๊สน้ำตาไม่ได้ช่วยสร้างระยะห่างระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายไว้ ผมไม่อยากคิดว่าตำรวจตั้งใจทำให้ใครบาดเจ็บ แต่ในช่วงเวลานั้นมีทางเลือกน้อยมาก

พันธมิตรฯไม่ยอมเจรจา

สิ่งที่บางคนดูเหมือนจะลืมก็คือ ความเป็นจริงพื้นฐานกฎหมายอยู่ข้างตำรวจ ไม่ได้อยู่ข้างพันธมิตรฯ ดูเหมือนว่าขณะนี้งานเขียนของผมจะอยู่ใจกลางของสงครามโฆษณาชวนเชื่อ ผมสามารถบอกซ้ำเพียงว่ามีการประกาศเตือนผ่านรถติดเครื่องขยายเสียงของตำรวจอย่างชัดเจนว่าไม่มีการเจรจา ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯได้สร้างแนวกีดขวางเอาไว้ และไม่มีเจตนาจะล่าถอยออกไปหลังจากที่มีการเตือน ตำรวจจึงเคลื่อนเข้าหา

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งตำรวจต้องถูกตำหนิ ตำรวจในประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ในการควบคุมการจลาจลอย่างตำรวจในบางประเทศ เช่น เยอรมนีที่การจลาจลเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และต้องบันทึกไว้ด้วยว่าที่เยอรมนีผู้ก่อจลาจลไม่ได้พกเอาปืนผาหน้าไม้ออกไปด้วย แน่นอนด้วยว่าอุปกรณ์และเครื่องมือของตำรวจในโลกตะวันตกก็เตรียมการดีกว่ามาก

ไม่มีพันธมิตรฯถูกยิงด้วยปืน

ผมยังคงเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดตามเงื่อนไขที่อำนวยให้ ไม่มีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯรายไหนถูกยิงด้วยอาวุธปืน จากข้อมูลของผมสิ่งนี้แตกต่างจากเหตุการณ์ในปี 2535, 2519 และ 2516

ผมหวังว่าผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 7 ตุลา จะไม่ถูกนำมาขยายความเกินจริงเพื่อเปรียบเทียบกับ 3 เหตุการณ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้ เพราะการทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไร และจะก่อให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น เกิดการนองเลือดมากขึ้น

พันธมิตรฯพกพาอาวุธอย่างท่อนไม้และหนังสติ๊กด้วย เรื่องนี้ไม่เป็นที่ต้องสงสัย และมีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯอย่างน้อย 1 รายถูกบันทึกภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยว่ามีปืนพก มีตำรวจ 3 นายได้รับบาดเจ็บจากการถูกอาวุธปืนยิง การอ้างว่าสมาชิกพันธมิตรฯไม่ได้พกอาวุธจึงเป็นเรื่องน่าขัน เช่นเดียวกับเรื่องสุดขั้วจากฝ่ายตรงข้ามพันธมิตรฯที่บอกว่าผู้ที่เสียแขนเสียขาเป็นผู้พิการอยู่แล้ว

กทม. ต้องรับผิดชอบด้วย

การสืบสวนของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ดูเหมือนจะยืนยันว่าแก๊สน้ำตาชนิดขว้างจะต้องรับผิดชอบกับการบาดเจ็บอันน่าสยดสยองนี้แต่โดยดีและความรับผิดชอบใหญ่ควรจะอยู่บนบ่าของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ด้วย เพราะได้ปฏิเสธคำขอรถดับเพลิงของตำรวจเพื่อใช้เป็นปืนฉีดน้ำ (water cannon) โดยให้เหตุผลว่าน้ำที่ไม่สะอาดในถังบรรจุอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ชุมนุม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติม

ตำรวจกำลังถูกทำลาย

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจล้วนได้รับคำตำหนิ ผมได้รับรายงานว่าในภาคกลางของไทยมีหลายกรณีที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 7 ตุลา คือเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายหรือถูกรุมตีจนได้รับบาดเจ็บ ผมสงสัยว่าผู้บงการที่ต้องการให้สถานการณ์อยู่ในภาวะสุดโต่งโดยหวังจะบรรลุเป้าหมายในระยะเวลาสั้นตระหนักถึงผลเสียในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นหากกองกำลังตำรวจของไทยถูกรื้อออกในทิศทางที่เกิดขึ้นในขณะนี้หรือไม่ ทุกความพยายามในการปรับปรุงกองกำลังตำรวจกำลังจะถูกทำลาย

ผมขอบคุณคนที่รู้สึกว่ารายงานของผมพยายามที่จะมีความเป็นกลางและเที่ยงตรงเท่าที่สามารถทำได้ และผมตั้งความหวังด้วยว่าผู้คนที่กำลังโกรธการรายงานของผมจะไม่เป็นความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของผมหรือครอบครัว

หาความเป็นกลางได้ยาก

นี่คือสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมากต่อการทำงานในฐานะผู้สื่อข่าว ความเที่ยงตรงเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากในห้วงยามนี้ ขณะที่มีหลายแง่มุมของสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องพิจารณาและตีความด้วยการใช้แนวทางประวัติศาสตร์ สังคม และใช้แง่มุมที่หลากหลายผสมปนเปกัน สิ่งที่จะเกิดต่อไปนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ไปเสียทั้งหมด และสำหรับทุกคนนี่คือเส้นทางของการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่

ขณะนี้การทำงานมีความเสี่ยงอันตรายมากยิ่งขึ้น ความอันตรายที่เห็นได้ชัดในขณะนี้คือเหตุความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ผมกลัวยิ่งกว่าว่าจะทำผิดพลาดอยู่ในสงครามโฆษณาชวนเชื่อนี้ ไม่มีคนหนึ่งคนจะทำให้ถูกต้องได้สำหรับทุกคน และคนฝ่ายหนึ่งมักจะไม่พอใจสิ่งพิมพ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง



จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก