ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันพุธ, กรกฎาคม 14, 2553

บทกลอนแห่งเดือนพฤษภาคม 2553

บทกลอนแห่งเดือนพฤษภาคม 2553
ความเศร้าใต้เงา(สะพาน)ราชประสงค์

โดย  http://yayzzzdao.hi5.com/
------------------------------------------




หยาดโลหิตฉีดสาดราชประสงค์
โลกงุนงงหากกระจ่างสว่างข่าว
เลือดสีแดงแรงกระฉอกบอกเรื่องราว
ร้อนผ่าวศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตวีรชนฯ

จิตวิญญาณถูกปลิดไปในความรัก
ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยทุกหน
พลีชีพปกป้องไททุกคน
หวังหลุดพ้นลุเสรีมีชัยฯ

อยากให้รู้ว่าเขาสู้กู้เกียติ
ลบหยามเหยียดเสมอสมัย
ตายก่อน ยังไม่เกิด ฤาหายใจ
ทุกคนไทยได้เท่าเทียมสราญฯ

หลับตาเถิดวีรชนหยุดรนร้อน
จารย์อักษรสดุดี.....น้องพี่ท่าน
เลือดทุกหยดรดปฐพีนี้ตำนาน
ชั่วกัปกาลขานด้นเป็นกลกลอน ฯ


โอ้บทกลอนเศร้าสลดหดหู่
เกินก้องกู่ผู้ใดปลอบใจสอน
ช่างหนาวเหน็บแจ็บแค้นแสนร้าวรอน
ล้มลงนอนซ้อนพรุนกระสุนเปรี้ยงลงฯ

ช่างปรองดองของแท้อีแม่อีพ่อ
ช่วงรอยต่อข้อพับสดับประสงค์
ปิดตา-ผ้ายัดปาก-หูหากคง
เขาล้มลง ตรงปืนโป้ง ปังปัง ตาย ฯ

แดงเอ๋ย .....เลือดแดงถั่งทะลัก
กระฉูดชักลงทรุดเนื้อหลุดหาย
เหลือบตามองข้องคิดก่อนจิตวาย
ทิ้งความหมายคลายคลี่คดีฉกรรห์ฯ

จะห่างอีกซีกโลกก็โศกสลด
ครวญกำสรดส่งมาข้ามฟ้ากั้น
จักยกชูกู้ศักดิ์ศรีเสรีนั้น
ลื่อสนั่นครั่นโลกาประชาธิปไตยฯ

บริสุทธิ์ดุจเทพปัญญานางฟ้าทิพย์
พร่างกระพริบส่องทางสว่างไสว
จิตวิญญาณท่านวีรชนเวียนวนไป
ปกป้องไทให้ต่อสู้กอบกู้ชาติพันธ์ฯ

ฝันถึงอรุณอบอุ่นอาณาจักร
อันที่รักเสถียรภาพซึ้งซาบคงมั่น
สถาพรมิคลอนแคลนแค้นโรมรัน
ความผูกพันธ์นั้นเราต่างเท่าเทียม

สิ้นจักรวาลขานระทึกจนกึกก้อง
จักกู่ร้องฟ้องประจานผลงานเหี้ยม
เราอดหยากยากจนคนหน้าเกรียม
อยากเท่าเทียมเทียบอื้ออึง...ถึงตาย


ลานโลหิตฉีดสาดราชประสงค์
คือธารส่งกระแส..มิแพ้พ่าย
สะพานผ่านฟ้า ผู้กล้า ชีพวาย
สานสืบสายวีรชนผจญเผด็จการฯ


.........................

"....ถนนมุ่งกรุงทุกสายสีแดงฉาน
คาราวานไพร่ยกทัพมาขับสู้
เหนืออีสานจากบ้านมายกธงชู
ให้โลกรู้ถึงกูจนคนเท่าเทียม

จราจรจลาจลสับสนแท้
รถปิคอัพรถตู้แห่ภาพ “หน้าเหลี่ยม”
ไร้ระเบียบแบบชาวบ้านผู้กร้านเกรียม
แต่มุ่งมั่นขอมาเยี่ยมชาวเมืองแมน

แดดร้อนจ้าเคลื่อนผ่ากลางหว่างตึกสูง
ผ่านคนกรุงในห้องแอร์ผู้สุขแสน
ผ่านโรงแรมพลาซ่าสินค้าแบรนด์
เหมือนอยู่คนละดินแดนแบ่งแคว้นกัน

สาวออฟฟิศวี้ดว้ายกระตู้วู้
ผู้ดีดูผ่านกระจกแล้วอกสั่น
“คนชั้นต่ำ” จะโค่นล้มสังคมอัน
มีศีลธรรมยึดมั่นบารมี

ทัพผีป่าบุก “ผ่านฟ้า” มาเนื่องหนุน
ทัพผีบุญกบฎเงี้ยวเลี้ยวเข้าที่
ขนน้ำปูปลาร้ามาอย่างดี
เตรียม “ถังขี้” พร้อมรบโดยครบครัน

คือกองทัพคนจนพลรากหญ้า
เหงื่อไคลย้อยมาทายท้าชาวสวรรค์
ย่ำตีนแตกมือด้านมายืนยัน
ว่าหนึ่งเสียงเท่ากันไม่ยอมแพ้

คนกรุงล้มรัฐบาลมาทุกยุค
เคยไล่รุกเผด็จการมาแน่วแน่
กลับมาเชียร์รัฐประหารเปลี่ยนผันแปร
แล้วแถกแถอ้างศีลธรรมความชั่วดี

พันธมิตร ตุลาการ รัฐทหาร
ล้มรัฐบาลจากเลือกตั้ง ไร้ศักดิ์ศรี
แล้วรวมหัวกัน “รู้รักสามัคคี”
เพื่อกดขี่ชนบทกดให้ยอม

วันนี้คนจนขอไล่รัฐบาลบ้าง
โปรดอย่าอ้างความชั่วดีให้ขี้หอม
ต่างถูกผิดด้วยกันอย่าทำฟอร์ม
แล้วบังคับให้อ่อนน้อมค้อมเรื่อยไป

ว่าจน โง่ กินเหล้า เมา ขายสิทธิ
ก็ไม่เคยดัดจริตหล่อเล็กใหญ่
นโยบายได้ผลสิโดนใจ
“ประชาธิปไตยกินได้” จึงตื่นตัว

ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องอ้างศีลธรรม
มาครอบงำกรีดนิ้วชี้ว่าดีชั่ว
แล้วใช้ปืนใช้กฎหมายสร้างความกลัว
มากดหัวให้ยอมรับ “นี่คนดี”

ประชาธิปไตยของไพร่ตื่นขึ้นแล้ว
จึงเข้าแถวทวงเท่าเทียมมาถึงที่
แม้หัวแถวไม่ได้ความเช่น 3G
นักการเมืองปาหี่มีทั่วไป

ย้อนอดีตแล้วนึกขำจำได้ว่า
ม็อบคนจนยกพลมาครั้งไหนไหน
“นิติรัตน์” “สมเกียรติ” พลาดได้ไง
NGO “ยะใส” ต้องครบครัน

มาวันนี้ผิดฝาตัวพลิกขั้วกลับ
ไปนำทัพคนเมืองเหลืองห้ำหั่น
พอชาวบ้านตื่นตัวกลัวรู้ทัน
ก็ปลุก “บางระจัน” ต้านมวลชน

หลายสิบปีหมอประเวศเที่ยวเทศน์โปรด
เสียงงึมงำเปล่าประโยชน์ไม่เห็นผล
แต่ทักกี้แค่สี่ปีปลุกคนจน
แดงท่วมท้นชนบทลุกเป็นไท

นายทุนยึดประชาธิปไตยของคนยาก
NGO ข้ามฟากเป็น “ขุนนางใหม่”
วิปริตผิดเพี้ยนเสียกระไร
ตลกไหม? ตลกร้ายไร้ที่ลง...."

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 11, 2553

ขณะนี้ คุณอายไหมที่จะบอกว่า "รักทักษิณ" ..คำตอบคือ NO

ที่มา โดย จำปูน ราชดำเนิน





Image

ดิฉันรักทักษิณ สนใจการเมืองก็เพราะทักษิณ การที่เขาถูกปล้นอำนาจ ทำให้ดิฉันรู้สึกล้มเหลว 
กดดันให้ดิฉันต้องสู้ เพราะเขาคือคนที่ดิฉันเลือก การที่เขาถูกโค่นล้มในขณะที่ดิฉันยังเชื่อมั่นศรัทธา 
ดิฉันเหมือนถูกหยาม เหมือนถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี 
เพราะเหตุนี้ดิฉันจึงเป็นคนเสื้อแดง 
จะเรียกว่าสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือเปล่า ดิฉันไม่รู้ 
ถ้าไม่มีใครเข้าใจ จะกล่าวหาว่าอย่างไร ก็ช่างหัวมันปะไร


เมื่อวาน มีชาวต่างชาติเข้ามาแชทคุยกับฉันผ่านเฟซบุ้ค เขาเริ่มสนทนาด้วยการชมบ้านเมืองเราว่าสวย ผู้หญิงก็สวย ดิฉันตอบเขาว่า “ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะฉันรู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราไม่ใช่ประเทศเสรีอีกต่อไปแล้ว” 


 มีคำถามหนึ่งที่ดิฉันสะดุดเขาถามดิฉันว่า"ท่านคิดอย่างไรกับ ... ... ... "

เขาพยายามพูดคุยว่าเขาเห็นใจคนไทย ดิฉันอ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ และบางครั้งเขาก็เอาภาษาไทยใน google มาตอบดิฉัน เกือบ 1 ชั่วโมงที่พูดไม่ได้สาระอะไร เพราะพูดกัน 2 ภาษา แต่มีคำถามหนึ่งที่ดิฉันสะดุด เขาถามดิฉันว่า “ What do you think about ………”

มันเป็นสิ่งที่ดิฉันเก็บกดอยู่ในใจ ดิฉันเลยตั้งใจตอบเขาไปว่า “ที่ประเทศฉันเขาห้ามพูดเรื่องนี้ ฉันถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้รักอย่างไม่มีเหตุผล ฉันไม่ได้เกลียดทุกคนในครอบครัวนี้ แต่ฉันก็ลังเลที่จะตอบว่ารักและเชื่อมั่นว่าทุกคนเป็นคนดี ที่ผ่านมา มีบางคน ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเลือกข้าง ทำให้ฉันเริ่มเชื่อว่าเขาส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าประชาชน แต่ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน“

ดิฉันพิมพ์เป็นภาษาไทย ไม่รู้ว่าเขาจะใช้ google แปลได้ตรงกับความหมายของมันจริง ๆ หรือเปล่านะ แต่ก็ดีใจที่ได้พูด สุดท้ายเขาถามว่า “คุณรัก (like) ทักษิณ ?” ดิฉันตอบโดยไม่ลังเล และไม่ต้องใช้ google ว่า “Yes”

ดิฉันนำชื่อเขาไปค้นหาในเฟซบุ้ค เพราะอยากรู้ว่าดิฉัน add เขาไว้ในเฟซบุ้คได้อย่างไร ปรากฏว่าเรามีเพื่อนร่วมกันที่ชื่อ Andrew MacGregor Marshall

Image

วันเสาร์, กรกฎาคม 10, 2553

ความจริงที่ซอยงามดูพลี.....ฉันมันเป็นคนเลวมากหรือ.....คุณถึงยิงฉัน

Image

 

click to zoom 
ส่วนมากจะโดนยิง..ที่ ศรีษะ และ หน้าอก เพราะ
การยิงจากหน่วยสไนเปอร์ก็บอกจุดประสงค์ได้แล้วและนี่คือที่มาของเรื่องการเผายางรถยนต์




ผู้ถูกยิงเพิ่ม ขึ้น....มันจะ ต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน....ตราบใดที่ยังมีการชุมนุม......คำพูดที่ว่า.. "ยิงเพื่อป้องกันตัว"สามารถนำ มาเป็นข้ออ้าง....ให้ทหารยิงได้ทุกสิ่งที่ตัว เองอยากยิง.....ตลอดวันนี้...ก็เช่นเดียวกับวันที่ผ่านๆมา....
จะมี สิ่งที่ต่างกันอยู่ข้อเดียวคือ ประชาชน ถูกยิงลดลง อาจเป็นเพราะ นิ้วมือของทหารเริ่มอักเสบจากการยิง ตลอดสามวัน ที่ผ่านมา ...หรือเป็นเพราะ...ประชาชน เริ่มฉลาดขึ้นและคิดได้ว่า..ที่ยิงมาจากทหาร...คือ กระสุนจริง
M - 79 .... ยุทธการการเผายางรถยนต์กองใหญ่ขึ้นถูกนำมาใช้ ..... ความสูงของกำแพงยางสูงขึ้น..
การเดินต้องย่อตัวมาก ขึ้น....การวิ่งต้องหาที่กำบังเป็นระยะ..ถ้าใครพลั้งเผลอ..กระสุนมีสิทธิมา เยือนร่าง..



มันคงจะกินเวลาอีกนาน .... ถ้าพวกเขาจะยอมรับสีเขียวอีกครั้งหรือว่า ..... ... ..... ในชีวิตนี้จะไม่มีวันนั้น .....
งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จปูนบำเหน็จรางวัลในการฆ่าประชาชนมือเปล่าของทหารหาญผู้กล้า... ไอ้สัตว์

 | พฤษภา 2553 นรก

"ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้น ว่าทหารไทยนี่แหละที่ยิงผม"

Q&A: Dutch Journalist Michel Maas Talks to IPI about Being Shot in Thailand Clashes
"ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้น ว่าทหารไทยนี่แหละที่ยิงผม" โดย Elizabeth Garrett
 แปล ไทยอีนิวส์
 6 กรกฎาคม 2553

 หน่วยฉุกเฉินได้นำตัวนักข่าวชาวฮอลแลนด์ ผู้ซึ่งถูกยิงระหว่างการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุุมนุมประท้วง "เสื้อแดง" กับทหารไทย ไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พ.ค. REUTERS ภาพ : สตริง / Photo: REUTERS/Stringer

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. องค์กรสื่อนานาชาติ หรือ IPI ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้มีการสอบสวนที่เน้นว่าต้องโปร่งใสอย่างเร่งด่วนที่สุด ต่อกรณีการฆ่าและการทำร้ายให้บาดเจ็บที่มีต่อผู้สื่อข่าวระหว่างการปะทะกันในเดือนเม.ษ. และพฤษภาคมมาที่ผ่าน และพฤษภาคมที่ผ่านมา

ความรุนแรงในประเทศไทยครั้งดังกล่าวทำให้นักข่าวสองคนต้องเสียชีวิต และมีนักข่าวบาดเจ็บอย่างน้อยห้าราย

ทั้งๆที่มีการเรียกร้องจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งรวมไปถึงองค์กรสื่อนานาชาติ แล้วนั้น ปรากฏว่ายังไม่มีการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด

นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกยิงได้แก่นาย Michel Maas ซึ่งเป็นชาวดัชต์ ทำงานภายใต้สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ (NWR) และ นสพ.Volkskrant ในฮอลแลนด์ เขาถูกยิงที่ไหล่ระหว่างความโกลาหลที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการโจมตีที่ป้อมปราการของคนเสื้อแดงโดยพวกทหารไทย

นายมาสขณะนั้นอยู่กับคนเสื้อแดงในขณะที่พวกทหารกำลังเริ่มโจมตี ในตอนนั้นเขาบอกกับบรรณาธิการหนังสือ Volkskrant ว่า อันตรายที่สุดในขณะนั้นก็คือพวกทหาร "เพราะว่าพวกเขายิงทุกอย่างที่เคลื่อนที่ และยิงโดยไม่ถามก่อนด้วย แม้ว่าจะเป็นนักข่าว"

องค์กร IPI ได้ขอสัมภาษณ์กับนาย Maas โดยมีรายละเอียดดังนี้

IPI : มันเป็นยังไงบ้างสำหรับนักข่าวที่รายงานข่าวความไม่สงบในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา

MM: ปัญหาใหญ่คือการหาให้เจอว่าความจริง จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะว่าสื่อไทยเกือบทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงหนังสือพิมพ์ "อิสระ"(ประชด) คือ เนชั่นฯ และบางกอกโพสต์ โดยเฉพาะเนชั่นฯ มันเป็นอะไรที่เทียบเคียงได้กับหนังสื่อ"โพรพาแกนด้าต่อต้านพวกเสื้อแดง" สิ่งนี้แหละที่ทำให้หน้าที่ของนักข่าวต่างประเทศยากยิ่งยวดและสำคัญมากๆ

และการที่สื่อต่างประเทศจำต้องจับข่าวจากสำนักข่าวท้องถิ่น และเพราะว่าไม่มีแหล่งข้อมูลข่าวใดๆเชื่อถือได้ คนที่ทำงานจำต้องใช้ตาและหูกันแบบสุดๆ และตรวจสอบข่าวกันทุกเม็ดและทำซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในทางปฏิบัติแล้ว การทำงานมันยุ่งๆที่ต้องผ่านจุดตรวจ โดยเฉพาะจุดตรวจของทหาร ผมถูกกักมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายครั้งทหารยืนยันว่าผมจะต้องไม่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ พวกเขาไม่ค่อยชอบช่างภาพเท่าไหร่

พวกทหารได้ออกคำเตือนหลายต่อหลายครั้งกับนักข่าว โดยเฉพาะที่บอกว่านักข่าวต่างประเทศคือ "เป้า" ของผู้ก่อการร้าย มีข่าวลือหลายครั้งว่าพวกเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าว และเตือนไม่ให้พวกเขาเข้าไปยังที่ตั้งของคนเสื้อแดง แม้ว่าผมจะรู้ว่าคนเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าวในพื้นที่คนสองคน และนักข่าวต่างประเทศบางครั้งก็ถูกกักไม่ให้เข้าไปยังพื้นที่ของคนเสื้อแดง หรือถูกเรียกให้ออกจากพื้นที่ ผมก็ยังได้ไปที่ชุมนุมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมของผมหลายต่อหลายครั้งในหนึ่งวัน และได้รับการตอบรับอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่ง ผมสามารถรายงานอย่างอิสระ และกับใครก็ได้ที่ผมต้องการ และกระทั่งในเวลาที่กำลังระอุ

IPI: จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.

MM: ผมเห็นผ่านทางทีวีว่าพวกทหารได้เริ่มเปิดฉากทลายกำแพงที่ฝั่งถนนสีลม ผมจึงเข้าไปที่ชุมนุมโดยใช้ช่องทางอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลจากถนนสีลม ในฝั่งนี้นั้นทุกอย่างเงียบเชียบ คนเสื้อแดงจำนวนมากกำลังตามข่าวผ่านทางทีวีในขณะที่เวทีกลางมีกำลังมีการปราศรัยโดยแกนนำไปเรื่อยๆ

ผมเดินไปตลอดจนถึงอีกฝั่ง และเห็นพวกทหารบุกเข้ามา และในขณะที่ผมอยู่ห่างออกไปจากแนวกำแพงประมาณ 200 เมตร ผมเห็นควัน และหลังจากนั้นไม่นานพวกทหารก็แหวกม่านควันเดินออกมา พวกเสื้อแดงได้เตรียมขวดน้ำมันเล็กๆและไม้ไผ่เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ต่อสู้ ผมเห็นชายคนหนึ่งถือปืนสั้นที่ค่อนข้างโบราณ และแม้กระทั่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ขนาดนี้ที่แนวหน้า ผมก็ยังไม่สังเกตเห็นสัญญาณใดๆของ "อาวุธร้ายแรง" ที่พวกเสื้อแดงถูกคาดว่าจะมี โดยเฉพาะตามที่อ้างมาจากสื่อของรัฐฯ

ในขณะนั้นผมอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้สื่อข่าวต่างประเทศประมาณ 20 คน ผู้ซึ่งก็กำลังชมเหตุการณ์ร่วมกับผม พวกเราพยายามหาที่หลบกำบังตามมุมตึก หลังต้นไม้ แต่ก็ไม่มีใครดูกังวล ต่อมาพวกทหารก็ได้เริ่มที่จะยิงแก๊สน้ำตา และยิงขึ้นฟ้าเพื่อที่จะสลายพวกผู้ชุมนุม

การเปิดฉากยิงเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังรายงานสดทางวิทยุ การยิงเกิดขึ้นจากฝ่ายเดียวคือฝ่ายทหาร และพวกเขาไม่ได้ยิงขึ้้นไปบนฟ้า พวกคนเสื้อแดงและนักข่าวเริ่มวิ่งหนี ผมก็วิ่งด้วย เพราะจากประสบการณ์ได้สอนผมว่า ในเหตุการณ์อย่างนี้ต้องตามคนท้องถิ่นดีที่สุด เพราะคนพวกนี้ได้เคยผ่านสมรภูมิก่อนๆมาแล้วและรู้ว่าเมื่อไหร่จะอันตรายจริงๆ

แต่งวดนี้ผมตัดสินใจผิด เพราะการวิ่งหนีทำให้ผมต้องออกไปจากที่กำบังมุมตึกและต้องอยู่ในที่โล่ง ผมถูกยิงทันทีที่หลัง มันยังไม่ทำให้ผมล้มลงดังนั้นผมจึงยังวิ่งต่อไป และหลังจากนั้นประมาณสองร้อยเมตรก็มีคนนำผมขึ้นมอเตอร์ไซต์และนำผมไปส่งโรงพยาบาลตำรวจที่อยู่ภายในที่ชุมนุม

ผมโชคดีอย่างยิ่งยวด กระสุน (ซึ่งชัวร์ว่าเป็นเอ็มสิบหก) พลาดปอดผมไปคือครึ่งนิ้ว แต่โดนไหล่และซี่โครงและหยุดภายในกล้ามเนื้อซึ่งก็ยังอยู่ตรงนั้น รอเวลาเพื่อการผ่าตัดเอาออก นักข่าวชาวอิตาเลียนไม่โชคดีอย่างนั้น นาย Fabio Polenghi ตายในที่เดียวกับที่ผมโดนยิง นักข่าวชาวคานาดาก็ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บในจุดจุดเดียวกันอีกด้วย


IPI: คุณเชื่อว่าใครยิงคุณ

MM: ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้น ว่ากองทัพไทยนี่แหละที่ยิงผม ไม่มีคนอื่นหรอกที่ยิงผม นี่พูดตามที่ผมบอกได้ พวกทหารมีสไนปเปอร์บนทางรถไฟลอยฟ้าเหนือหัวเรา พวกทหารในสวนลุมก็อยู่ด้านหน้าเรา มันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว และกองกำลังก็เดินคืบหน้ามาในทิศทางที่ผมโดนยิง

การที่ปรากฏว่าตัวเลขเหยื่อเป็นชาวต่างชาติเป็นสัดส่วนที่สูง ประกอบกับการประกาศเตือนล่วงหน้าโดยกองทัพ ได้ทำให้มีข้อสงสัยว่า นักข่าวชาวต่างชาติอาจะเป็นรายการที่ต้องยิงจริงๆ และไม่ใช่ยิงโดยพวก "ผู้ก่อการร้าย" แต่ยิงโดยพวกทหาร พวกเขาอ้างไม่ได้ว่าพวกเขาแยกแยะระหว่างคนเสื้อแดงกับชาวต่างชาติไม่ออก


ผมถูกสังเกตเห็นอย่างง่ายว่าแตกต่างกับคนอื่นในขณะที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน จากความสูงผม (ผมสูงกว่าคนไทยโดยเฉลี่ย) จากเสื้อผ้าผม สีผมรวมทั้งสีผิว ส่วนคุณฟาบริโอ โปลองกี่ ก็ใส่เสื้อเกราะและหมวกยืนเด่นแปลกแยกออกจากผู้ประท้วง พวกทหารแก้ข้อกล่าวหาได้ทางเดียวโดยอาจจะอ้างว่าก็เพราะพวกเขายิงไม่เลือกอย่างเท่าเทียมไปยังฝูงคนนี่เอง (ไม่ได้ยิงเหนือศีรษะ ผมโดนยิงใต้ระดับไหล่ ฟาบริโอโดนยิงที่ท้อง)

IPI: เหตุการณ์ดังกล่าวบอกอะไรคุณเกี่ยวกับมุมมองที่เขามองนักข่าว


MM: ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ก่อนหน้านี้ผมได้ยินถึงคำบ่นว่านักข่าวต่างประเทศเข้าข้างผู้ประท้วงมากเกินไป และมันชัดที่ว่าพวกทหารไม่ชอบที่พวกเรารายงานเหตุการณ์การปะทะก่อนหน้านี้ซึ่งจบลงที่ความล้มเหลวของฝ่ายกองทัพของรัฐบาล เหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาคิดว่าพวกนักข่าวในพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงอาจจะมีส่วนร่วมหรืออะไรๆก็ตาม ซึ่งอาจจะนำให้พวกเขาคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะยิงพวกเราเช่นเดียวกับที่ยิงผู้ประท้วง

IPI: แล้วอย่างนั้นพวกเขาควรจะมองนักข่าวอย่างไรล่ะ

MM: ก็มองดังเช่นคนที่เขาควรจะปกป้อง แม้ในช่วงมีการโจมตี พวกเขาน่าจะออกประกาศเตือนและให้โอกาศกับนักข่าวที่จะออกจากพื้นที่ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็แค่ยิงเลย ไม่เตือน


IPI: มีปฏิกิริยาอะไรจากเจ้าหน้าที่ทางการดัชต์หรือไทยต่อการยิงคุณ


MM: กระทรวงการท่องเที่ยวส่งอีเมล์มาหาผมโดยเสอนว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษา แต่ผมเห็นว่ามันค่อนข้างใจดีกับคนต่างชาติ ก็เพราะเพื่อรักษาภาพพจน์ของการท่องเที่ยวไทย

ผมได้คุยกับเอกอัครราชทูตดัชต์ในกรุงเทพฯอย่างดี เขาบอกว่าเขาจะบอกให้รัฐบาลดัชต์เรียกร้องให้มีการเปิดเผยโดยรัฐบาลไทย แต่ผมยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

IPI: มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าใครยิงคุณบ้างไหม

MM: เท่าที่ผมรู้-ไม่มี ไม่มีกระทั่งรายงานจากตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


IPI: สถานการณ์ของนักข่าวในไทยเป็นอย่างไร เท่าที่คุณรู้


MM: โดยรวมแล้วเสรีภาพสื่อในไทยยังมีอยู่ แต่ยากที่จะบอกว่าเสรีภาพมันกินขอบเขตแค่ไหน พวกสื่อไม่เซ็นเซอร์ตัวเองก็โดนควบคุมโดยรัฐ และก็มีหัวข้อที่ไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้เขียนได้คือ หัวข้อที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์

IPI: คุณจะแนะนำกับนักข่าวคนอื่นอย่างไรเมื่อต้องรายงานสถานการณ์แบบนี้อีก

MM: สถานการณ์มันแตกต่างกันไป คุณต้องระวังตลอดและหาคนท้องที่ ที่คุณไว้ใจได้

ผมอาจจะบอกเพิ่มว่า ขอให้เอาเสืื้อกันกระสุนไปด้วย แต่อย่าไว้ใจมาก เพราะฟาบริวโอก็โดนยิงทั้งๆที่ใส่เสื้อเกราะ

ความถดถอยของอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย?

2010-06-12 18:35

ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น 


นิสิตปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น 

 หลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาผมรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..

หลังจากการชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจบสิ้นลงพร้อมกับเพลิงพิโรธในจุดต่างๆรอบ พื้นที่การชุมนุมและบางพื้นที่ใน
เขตที่มั่นแดงต่างจังหวัด ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้ (11 มิย 2553) ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงยังไม่นิ่ง รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนอาจพิการตลอดชีวิต ..


ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์โดยตรงเพราะพาตัวเองเข้าพื้นที่ปะทะในวันที่เสธแดงถูกยิงวันที่ 13 พค 53 จนถึง 14 พค 53 ต่อเนื่องกัน 2 วัน ในวันสุดท้ายที่ผมอยู่ในพื้นที่ตอนกลางวันผมเห็นทหารเต็มไปหมด ถนนแทบทุกเส้นรอบพื้นที่ชุมนุมปิดตาย การจะเข้าพื้นที่ได้ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะเข้าไปทางชุมชนใกล้ๆบริเวณนั้น ..


คืนวันที่เสธแดงถูกยิงเป็นวันที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต เพราะหลังจากที่เสธแดงถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็มีการปะทะกันทั้งคืน ในห้วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเสธแดงถูกยิง ในพื้นที่บังเกอร์แดงโซนศาลาแดงถูกกลุ่มกระสุนปืนลึกลับยิงสวนเข้ามาในค่าย ทำให้ผมเห็นคนล้มลง 2 คน หนึ่งในนั้นหัวสมองกระจายเรี่ยราดบนพื้นถนน ตัวผมเองก็เกือบถูกลูกปืนพุ่งใส่ขาซ้ายซึ่งกระสุนลูกนั้นวิ่งผ่านขาผมไปดัง "ฟึ่บ!!" ไปกระแทกกับพื้นถนนเป็นรู ลูกปืนมาจากด้านบนแน่นอนเพราะวิธีกระสุนเฉียงจากที่สูง ..

สถานการณ์ ตอนนั้นแย่มากจนผมต้องถอยไปตั้งหลักยังหลังเวทีราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ ยังมีการปั่นไฟใช้สว่างไสว (โซนบังเกอร์ศาลาแดงมืดทั้งแถบ) ตลอดทั้งคืนผมได้ยินเสียงปืนประปราย เป็นคืนอันยาวนานสำหรับผมในพื้นที่สงครามเช่นนี้ ..

วันต่อมาผม พยายามลัดเลาะเข้าพื้นที่ราชประสงค์อีกแต่อยู่ได้เพียงครึ่งวันผมต้องพาตัว เองออกมา การข่าวของผมแจ้งว่าจากวันนี้ไป (14 พค 53) ทหารจะเข้ากวาดล้างในพื้นที่ ..


ระหว่างวันที่ 17-19 พค 53 เป็นวันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของสยาม การเข้ากวาดล้างคนเสื้อแดงของทหารรัฐบาลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมในนาม "การกระชับพื้นที่" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฎิเสธความรุนแรงอันเกิดจากการล้อมปราบของรัฐบาลได้ .. หลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างประชาชนและทหาร รัฐบาลก็ตามไล่กระทืบซ้ำพี่น้องเสื้อแดงทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน มีการบุกจับแกนนำแดงทั่วประเทศ แกนนำบางส่วนหนีไป บางส่วนถูกยิงตาย บางส่วนเข้ามอบตัว หลายส่วนเตรียม "ยุทธศาสตร์" สำหรับครั้งต่อไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง ..


มวลชนพี่น้องเสื้อแดง หลายพื้นที่เท่าที่ตัวผมได้สัมผัสโดยตรง ภาคตะวันออกมี ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี ตราด อีสานมี อุบล ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ยโสธร อุดร ในขณะนี้อยู่ในสภาพโกรธแค้นชิงชัง สับสน และกำลังใจหดหู่ ส่วนในระดับแกนนำท้องถิ่นนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขากล่าวกับผมว่า "ครั้งต่อไปจะนองเลือดกว่านี้ และประชาธิปไตยจะต้องชนะ" ..


ผมแน่ใจว่าพวกเขาพูดจริง ในระดับมวลชนผมค้นพบว่าหลังจากราชประสงค์แตกย่อยยับทำให้ "ความคิดทางการเมือง" ของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขารู้แล้วว่าการสู้รบครั้งต่อไปเขาจะสู้กับ "ใคร" อย่างชัดเจน ..


การจัดตั้งมวลชนในระดับพื้นที่แถบอีสานและภาคเหนือเพิ่มความเข้มมากยิ่งขึ้นในระดับที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นความน่ากลัวในระดับที่รัฐบาลฝรั่งเศสก่อน 1789 ได้รับจากฝ่ายประชาชน เป็นความน่ากลัวในระดับรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ได้รับก่อน 1917 .. ปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนี้กำลังสำแดงพลังของมันในฐานะปัจจัยหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัว ต้นตอของปัญหาไม่เคยถูกแก้มานานแสนนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงตามไล่ล่ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเลือดเย็น ..


วิธีการที่พวกอนุรักษ์นิยมนำมาใช้จัดการกับปัญหา คือ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงทั้งความคิดและกายภาพ พวกเขาเชื่อว่าปากกระบอกปืนสามารถสยบประชาชนลงแทบเท้าของเขาได้ พวกเขาเชื่อว่าการปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้กฎหมายสามารถกวาดล้างสำนึกทาง การเมืองของประชาชนได้ พวกเขาเชื่อว่าประชาชนโง่ดักดานตามพวกเขาไม่ทัน ..


อนิจจา...ความ เชื่อเหล่านี้เกิดจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น พวกเขามองไม่เห็นพัฒนาการใดๆทั้งสิ้นของประชาชน พวกเขายังนึกว่าประชาชนถูกทักษิณซื้อหรือมาเพราะนักการเมืองจัดตั้ง ..


ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน "บนที่สุด" ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจการปกครองออกจากมือ พวกเขาเชื่อว่าประเทศนี้ชนชั้นของตนดีที่สุด พวกเขาไม่เชื่อประชาชน พวกเขาไม่เชื่อความเปลี่ยนแปลง พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น ..


การรักษาอำนาจของเขาทำให้ประชาชนนับร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาฆ่าแม้กระทั่งคนแก่ เด็ก อาสาสมัครจิตอาสา ผู้หญิง คนที่ไม่มีอาวุธในมือ ..


พี่น้องประชาชนผู้สูญเสียเขาไม่สนใจคำอธิบายใดๆของรัฐทั้งสิ้นเพราะรัฐไปฆ่าเขา คำว่าปรองดองเป็นคำที่ตลกร้ายที่สุดสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการ "เอาคืน" ของประชาชนแล้ว ..
ความปรองดองบนพื้นฐานความกลัว คือความหายนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง
 
........

ลึกสุดใจ"ลูกสาวเสธ.แดง ..ความขัดแย้งเกิดจากอำนาจ เพราะคนๆ หนึ่งต้องการอยู่ในอำนาจมากเกินไป !!!

2 เดือนที่แล้ว   "เดียร์"  ขัตติยา สวัสดิผล สูญเสีย  พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล  หรือ "เสธ.แดง"  บิดาผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ


ลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด  พร้อมกับคำถามถึงผู้มีอำนาจว่า  "พ่อหนูผิดอะไร"?


มาวันนี้  เดียร์  อยู่ในระยะทำใจ พยายามลบฝันร้ายไว้เบื้องหลัง และใช้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง  แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ...ยากจะลืมเลือน 
      

ปัจจุบัน เดียร์  ทำงานเป็นนักกฎหมายอยู่ที่สำนักงานกฎหมาย วิสเซ่น แอนด์ โค จำกัด หลังจากเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  สอบได้เป็นเนติบัณฑิต และจบปริญญาโท ด้านกฎหมาย จากUniversity of Wisconsin, Madison และ George Washington University สหรัฐอเมริกา โดยมีครอบครัวและญาติมิตรอันเป็นที่รัก  คอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง
      

ฟ้าหลังฝน กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา  เธอให้สัมภาษณ์ ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์  แบบเต็มอิ่ม  
      

บทสนทนาครั้งนี้ อาจทำให้คุณรู้ว่า จากนี้ไป  ชีวิต การเมือง ผู้หญิง และความใฝ่ฝันในอนาคตของทายาทเสธ.แดง วัย 29 ปี  ผู้นี้  น่าระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง  ...


@ ในงานศพคุณพ่อ คุณตะโกนว่า พ่อทำผิดอะไร


             ตอนนั้นเดียร์มีความรู้สึกว่า คุณพ่อไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับฝั่งรัฐบาลหรือทางกองทัพ เพียงแต่เขาเป็นทหารของกองทัพที่เลือกจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับประชาชน โดยมาทำให้มวลชนคนเสื้อแดงรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ถ้ามีคุณพ่ออยู่ คุณพ่อจะสามารถดูแลเขาได้ เพราะคุณพ่อวางยุทธศาสตร์ ไม่ให้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมได้
           มันเป็นวิธีเดียวของกองทัพเหรอ  รัฐบาลมีแค่วิธีเดียวเหรอ ที่ต้องใช้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุม ทำไมคุณไม่คุยกัน แสดงว่าคุณต้องการที่จะเอากองทัพเข้ามาสลายการชุมนุม


@ โกรธรัฐบาลไหมครับ


            โกรธมากค่ะ ถ้าเดียร์บอกว่า เดียร์ไม่โกรธเลย มันเป็นการเสแสร้ง พ่อเราเสียชีวิตทั้งคน ทำไมเราจะไม่โกรธ ถามว่าแค้นมั๊ย  เดียร์แค้นมาก(นะ) ถามว่าจะเอาคืนมั๊ย เดียร์ยังไม่บอกตอนนี้ แล้วเดียร์จะไม่ให้อภัยด้วย พ่อตายทั้งคน ถ้าเดียร์ให้อภัยเขา เดียร์ก็อกตัญญูแล้ว


@ แม้ว่าจะยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าใครทำอย่างนั้นหรือ


          คือ เดียร์จะไม่พูดว่าใครทำ แต่อย่างน้อยเดียร์ก็รู้ได้ว่า ใครได้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของคุณพ่อ


@ ถามจริงๆ รู้สึกเหงามั๊ย


           เหงามาก(ค่ะ) ตั้งแต่คุณพ่อจากไป ไม่เคยอยู่คนเดียวเลย จะมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อตลอด เพราะทุกครั้งที่หยิบรูปคุณพ่อขึ้นมาดู ก็จะร้องไห้ 

 

@ ทุกวันนี้ คุณคุยเรื่องการเมืองกับใคร


        คุยกับเจ้านาย(ค่ะ) เป็นแดงจ๋าเลย(หัวเราะ)  ช่วงงานศพ นอกจากนี้ก็คุยกับญาติๆ เดียร์ และก็คุยกับลูกน้องคุณพ่อ เพราะเราไม่รู้คนอื่นเขาคิดอะไร เพราะบางคนเขาก็ไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อ

 

@ รู้มาว่าคุณทำงานเป็นนักกฎหมาย  เป็นอย่างไรบ้างครับ


            เป็นที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ(ค่ะ) ลักษณะงานที่นี่  ลูกความส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเราจะต้องให้คำปรึกษาเขา ตั้งแต่เขาเริ่มที่คิดจะทำธุรกิจ และถ้าเขาจะทำธุรกิจประเภทนี้ หรือเขาต้องการจะตั้งบริษัทขึ้นมา เขาต้องทำอย่างไรบ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย
         พอเขาตั้งบริษัทมาเป็นรูปเป็นร่าง เราก็มีหน้าที่ร่างสัญญาให้เขา พอร่างสัญญาเสร็จ ทั้ง 2 ฝ่ายตรวจมา ทำยังไงให้ลูกความฝ่ายเราได้เปรียบมากที่สุดและเสียเปรียบน้อยที่สุด อันนี้คืองานของเรา  พอเวลาเกิดข้อขัดแย้งขึ้น เราจะแก้ปัญหาอย่างไร อาจจะต้องฟ้องศาล มีตั้งแต่ร่างคำฟ้อง เป็นทนายความที่ศาล ก็คือต้องทำทุกอย่าง

  
@ ฟังดู คุณสนุกกับอาชีพนักกฏหมาย



            สนุกมาก(ค่ะ)  มีความสุขกับงานตรงนี้มาก ไม่อยากเปลี่ยน ถามว่าถ้าลงเล่นการเมืองจะลาออกจากงานตรงนี้ไหม เดียร์คิดว่าไม่ เพราะเราเรียนมาทางด้านนี้แล้ว และคุณพ่อก็ส่งเสียให้เรียนต่างประเทศ เดียร์อยากใช้สิ่งที่คุณพ่อให้มา เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ทำที่นี่มา 1 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ที่สำนักกฎหมายสากล สยามพรีเมียร์ จำกัด ของท่านสุรเกียรติ เสถียรไทย แล้วก็มาอยู่ที่นี่


@ บุคลิกและนิสัยของคุณเป็นแบบไหน บอกได้มั๊ย 


            คิดว่าเดียร์เหมือนคุณพ่อ(นะ)  คือ ตรงไปตรงมา แต่อาจจะไม่พูดตรงเหมือนคุณพ่อเป๊ะ ไม่ค่อยโผงผางหรือมีคำหยาบคายออกมาเยอะแยะเหมือนพ่อ  คือเดียร์เป็นลูกที่คุณพ่อเลี้ยงมากับมือ เราได้เชื้อพ่อมาโดยตรง มีคนบอกว่าการคิดการพูดเหมือนคุณพ่อเด๊ะ
          ลูกน้องคุณพ่อบางคนก็บอกว่า นายเสียไปแล้ว แต่พอได้โทรมาคุยกับพี่เดียร์ เหมือนกับคุยกับคุณพ่อเลย ฉะนั้น เดียร์อยากทำให้เหมือนเขาทุกอย่าง และสิ่งหนึ่งที่อยากทำให้เหมือนเขามาก คือการได้ใจประชาชน เขาได้เข้าถึงประชาชน  เพราะเขาติดดินและไม่ถือตัว สิ่งนี้แหละ ที่เดียร์พยายามทำให้ได้เหมือนเขา


@ หมายความว่า คุณจะลงเล่นการเมือง


            จริงๆ คิดมานานแล้วตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ พอคุณพ่อตั้งพรรคการเมือง ก็บอกว่าคุณพ่อจะให้น้องเดียร์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 หลังจากนั้นพ่อก็คอยแกล้งตลอดว่า เตรียมตัว นะมันจะยุบสภากันแล้ว เราก็เตรียมพร้อมถ้าเลือกตั้ง เราต้องเป็น 1 ในผู้สมัครรับเลือกตั้ง   พอคุณพ่อเสีย ยิ่งรู้สึกว่าเราจะต้องทำให้พรรคขับเคลื่อน ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง


@ เป็นไปได้ไหม ที่คุณจะเป็นผู้นำมวลชนในอนาคต


            ยังค่ะ. เดียร์อยากลองเข้าไปสัมผัสเขาจริงๆ จังๆ ก่อน เหมือนที่คุณพ่อทำ ถามว่าตอนนี้เดียร์จะเป็นแกนนำได้ไหม เดียร์บอกได้เลยว่าความสามารถของเดียร์รวมถึงประสบการณ์ยังไม่ได้ แต่ขอใช้เวลาศึกษาก่อนว่าระบบการเมืองการเข้าถึงมวลชนรากหญ้าหรืออะไรก็แล้วแต่เป็นยังไง แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาพูดกัน เพราะบางที เมื่อถึงตอนนั้น ระบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ ใครอาจจะเป็นรัฐบาลก็ได้


@ จะเป็นหัวหน้าพรรคขัตติยะธรรมต่อจากคุณพ่อด้วยหรือเปล่า


           เรื่องหัวหน้าพรรค เดียร์กำลังคิดอยู่ว่าเดียร์จะเป็นเองหรือเปล่า ต้องดูข้อกฎหมายก่อน ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเป็นกรรมการบริหารพรรคโดยตำแหน่งด้วย ก็อาจจะไม่เป็นหัวหน้าพรรค แต่อาจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคเราเป็นพรรคเล็ก และก่อตั้งโดยเสธ.แดง เราอาจจะโดนแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้
           ถ้าแกล้งแล้วโดนยุบพรรคไป มันก็เหมือนไม่มีตัวแทนของเสธ.แดง เพื่อจะมาตั้งพรรคใหม่อีกพรรคหนึ่ง เพราะถ้าโดนยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง อย่างน้อยให้เหลือเดียร์ไว้สักคน อาจจะตั้งพรรคใหม่เป็นพรรคขัตติยะ หรืออย่างอื่นก็ได้ แล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง

 

@ แล้วพรรคของคุณมีนโยบายแตกต่างจากพรรคอื่นอย่างไร


           เท่าที่คุณพ่อ พูดเอาไว้ก่อนเสียชีวิต บอกว่า กองทัพทหารของเรา อันดับตกไปที่เท่าไหร่เดียร์ไม่แน่ใจ คุณพ่อจึงอยากพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กลับเข้ามาอยู่ 1 ใน 5 ของเอเชียอีกครั้ง   อีกอย่างคือ คุณพ่ออยากแยกอำนาจสืบสวนสอบสวนออกจากตำรวจ ซึ่งเหมือนกับระบบของสหรัฐอเมริกา คุณพ่ออยากให้เป็นแบบนั้น


@ คุณทักษิณ เคยชวนเข้าพรรคเพื่อไทยบ้างไหม


          มีคนอื่นชวนซึ่งไม่ใช่คุณทักษิณ แต่เดียร์ไม่ไป(ค่ะ)  เพราะถ้าไม่ใช่พรรคขัตติยะธรรม เดียร์ก็จะไม่ลงเล่นการเมือง ที่ลงเพราะคุณพ่อทิ้งหน้าที่นี้ไว้ให้ พร้อมกับมวลชนทุกคนบอกว่าสานต่อเจตนารมย์คุณพ่อ บอกว่าเดียร์อย่าทิ้งพรรค เดียร์เอาสิ่งที่คุณพ่อพูด รวมถึงกำลังใจจากทุกคนมาดำเนินตาม แต่ไม่ใช่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย

 

@ มองสถาบันพรรคการเมืองไทยอย่างไร ขณะที่เตรียมสานต่อพรรคขัตติยะธรรม


           ตอนกลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เดียร์เคยทำอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน เพราะคุณพ่อให้ไปทำอยู่ฝ่ายกฎหมายที่นั่น ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ระบบพรรคการเมืองเป็นอย่างไร แต่ถามว่ามองพรรคการเมืองของประเทศไทยอย่างไรและจะทำอย่างไรกับพรรคขัตติยะธรรม  เดียร์อยากให้พรรคขัตติยะธรรมเป็นพรรคที่ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง หรือจากการเข้าไปเป็นรัฐบาล  เพราะรู้ว่าการเลือกตั้งใช้เงินเยอะ เพราะเหตุดังกล่าวจึงทำให้นักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐบาลต้องคอร์รัปชั่น เพื่อเอาเงินส่วนนั้นคืนมา
          เพราะฉะนั้น มีความรู้สึกว่าถ้าพรรคขัตติยะธรรมใช้เงินให้น้อยที่สุด ใช้เงินเท่าที่จำเป็นโดยไม่ฟุ่มเฟือย เราต้องใช้ความสามารถ ใช้การซื้อใจประชาชนด้วยคำพูดหรือด้วยความคิดและการปฏิบัติของเรามากกว่าที่จะใช้เงิน หากได้เข้าไปเป็นรัฐบาลหรือส่วนหนึ่งของการเมืองไทยแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นจะให้ พรรคขัตติยะธรรมยืนอยู่บนรากฐานแบบนี้ และตามอุดมการณ์ของคุณพ่อทุกอย่าง

 

@คุณมองความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างไรบ้าง


            ความขัดแย้งเกิดจากอำนาจ เพราะคนๆ หนึ่งต้องการอยู่ในอำนาจมากเกินไป พอตัวเองได้อำนาจมา ก็หลงระเริงในอำนาจ พอมีคนจะแย่งอำนาจไปก็เกิดความดื้อ ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา ถ้าเขาไม่หลงระเริงในอำนาจสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เดียร์จะไม่บอกว่าเป็นใครที่หลงระเริงในอำนาจ แต่อยากให้เรื่องของคุณพ่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับทุกคน ว่า เมื่อมีคนหลงระเริงอำนาจ แล้วพอมีคนออกมาพูดอะไรที่ตรงๆ โดยที่ไม่กลัวอะไรเลย สุดท้ายก็จะจบชีวิตแบบนี้ เหมือนอยู่ในสังคมที่พูดความจริงไม่ได้ 
            อย่างคุณพ่อ เขาพูดความจริงทุกอย่างเยอะเกินไป เดียร์มีความรู้สึกว่าถ้าเขารู้แล้วไม่พูด และไปทำวิธีอื่นแทน มันน่าจะดีกว่านี้ แต่คุณพ่อเป็นคนที่คิดแล้วพูดด้วยความที่เขาเป็นคนตรงๆ ข้อดีของสิ่งนี้คือ เขาได้ใจประชาชน


@ แต่คุณเคยมีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากคุณพ่อมาก่อน


         จริงๆ แล้ว  เราไม่ได้มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันเลย เดียร์เชื่อว่าหลายๆ คน ที่ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เขาเห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมีอยู่แล้วที่ไปเพราะอยากรู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ พูดอะไร ยังไง แล้วเราก็มาชั่งน้ำหนัก กับอีกฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลซึ่งขณะนั้นปีกเสื้อแดงเป็นรัฐบาล แล้วนำเสนอข่าว
          ฉะนั้น เราเอา 2 อย่างมาชั่งน้ำหนักกัน นั่นคือสาเหตุที่เดียร์ไป  อีกอย่างคุณพ่อมองว่า การที่เดียร์ไปชุมนุม เป็นเรื่องเด็กๆ เหมือนไปกับเพื่อน เพราะฉะนั้น เราไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องนี้ อยู่ที่บ้านไม่เคยพูดกันเรื่องนี้เลย ยกเว้นแต่เอามือตบไปแหย่เขา แกล้งเขา แค่นั้นเอง  ถามว่ามีปัญหาเรื่องนี้ไหม มันไม่เคยมีปัญหามาตั้งแต่แรก
          และยิ่งเราอยู่ตรงกลางตั้งแต่แรก พอเจอเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวเรา ยิ่งทำให้เดียร์เลือกที่จะมาอยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คือ อย่าบอกว่าเป็นเสื้อแดงหรืออยู่ฝั่งไหน เอาเป็นว่าเดียร์อยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คุณพ่ออยู่ฝั่งไหนเดียร์อยู่ฝั่งนั้น

 

@ มองอย่างไรที่คนในสังคมไทยจำนวนมาก เลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ


            นี่แหละคือประชาธิปไตย เขามีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อ ในเมื่อเขาเชื่อว่า ระบบตอนนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาเรียกร้อง ไม่งั้นคุณก็เปลี่ยนระบบการปกครองไปสิ  การที่เสื้อแดงออกมาเรียกร้อง มันไม่ใช่แค่คำว่าทักษิณ ชินวัตร  แล้ว มันเลยทักษิณไปแล้ว คุณพ่อเคยบอกว่าน้องเดียร์มันมากกว่านั้นแล้ว เราฉุดมันไม่อยู่แล้ว


@  หลังจากได้สัมผัสมวลชนกับคุณพ่อมาบ้างแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรเวลามีการกล่าวหาว่ามีขบวนการใต้ดินใช้ความรุนแรง


             ไหนล่ะคือหลักฐาน  แล้วก็มีการบอกว่านายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะโดนลอบทำร้าย คุณไปเอาข่าวมาจากไหน คุณช่วยเอามาให้เขาดูหน่อยว่าไปเอาอะไรมา คุณไปดักฟังโทรศัพท์เขาเหรอหรือว่าไปเอาอะไรมาพูด             คือทุกอย่างเดียร์รู้สึกว่า อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นมีสิทธิ์จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้เพื่อให้ประชาชนเชื่อ พูดไปก็มีแต่ความแค้นนะเนี่ย  ไม่รู้จะพูดยังไง (หัวเราะ) โกรธมาก ตอนนี้ เปิดทีวีมา ไม่อยากเห็นหน้านายกฯ ไม่อยากเห็นหน้า ผบ.ทบ. เลย

 

@เวลาที่มีคนบอกว่าเสธ.แดง เป็นผู้ก่อการร้าย คุณคิดเห็นอย่างไร


           เศร้านะ คือคุณพ่อเดียร์ เทิดทูนสถาบันฯมาก เดียร์ไม่รู้จะพูดยังไง มีคนบอกว่าที่มีการสั่งยิงคุณพ่อ เพราะเขาเชื่อว่าคุณพ่อจะล้มล้างสถาบันฯ เดียร์ขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่าคุณพ่อไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่ในหัว เพราะคุณพ่อเทิดทูนสถาบันฯมาก เราอยู่กับคุณพ่อมา คุณพ่อสอนให้เราเทิดทูนสถาบันฯ มาโดยตลอดและไม่ว่าอะไร คุณพ่อจะนึกถึงสถาบันฯตลอด     
         ฉะนั้น คุณเลิกพูดเถอะว่าคุณพ่อเป็นผู้ก่อการร้าย ระหว่างที่คุณพ่ออยู่ในม็อบ ก็ไม่เคยถืออาวุธ  ถามว่าอาวุธของเสื้อแดงคืออะไร เดียร์เห็นเขาเหลาไม้ไผ่แหลมๆ แต่การที่เขาถือไม้ไผ่แล้วคุณบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย  คุณบ้าไปแล้ว

 


@ รัฐบาลเร่งปฏิรูปเรื่องปรองดอง คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม มากน้อยแค่ไหน
             ไม่ได้(ค่ะ) ต่อให้ 63 ล้านความคิด ก็ไม่มีทาง  คือตั้งแต่แผนที่รัฐบาลเสนอมา เสื้อแดงยังไม่รับเลย หลักๆ เลยคุณหาคนรับผิดชอบวันที่ 10 เมษายน  กับช่วงเดือนพฤษภาคม ก่อนดีกว่า ว่าใครจะรับผิดชอบ   และใครจะมารับผิดชอบการตายของคุณพ่อเดียร์ ถ้าคุณทำ 3 อย่างนี้ได้นะ คุณค่อยมาคิดแผนปรองดองใหม่


@ คุณคาดหวังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ชุดอาจารย์คณิต  ณ นคร มากน้อยแค่ไหน


           อาจารย์คณิต เขาส่งจดหมายให้เดียร์นะ แต่ยังไม่ได้อ่าน เพราะอยู่ที่บ้าน  แต่เท่าที่ทราบคือ สำนวนถูกส่งจากตำรวจที่รับผิดชอบ ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว มันเลยยิ่งทำให้ความหวังที่จะได้ตัวคนร้ายคนยิง รวมถึงการที่จะหาข้อสรุปคดีคุณพ่อมันน้อยมาก


@ อยากฝากอะไรถึงผู้มีอำนาจในขณะนี้มั๊ย


           อยากบอกว่า ให้เป็นมาตรฐานเดียวได้แล้ว และเป็นมาตรฐานที่ยุติธรรม ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน และคนที่อยู่ในอำนาจ สักวันก็ต้องลงจากอำนาจ ยังไงก็ต้องมีวันนั้น ฉะนั้น ในเมื่ออยู่ในอำนาจก็อยากให้เขาใช้อำนาจในทางที่ถูกเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ 63 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มเดียวหรือ 2 กลุ่ม


@ แล้วอยากฝากอะไรถึงคุณพ่อหรือคนที่ให้กำลังใจบ้าง


            เดียร์อยากขอบคุณคนเสื้อแดงมากๆ และประชาชนที่อาจจะไม่ใช่เสื้อแดง แต่ได้แสดงความเป็นห่วงใยและให้ความเคารพคุณพ่อ รวมถึงให้กำลังใจครอบครัวเรา เดียร์พูดได้เต็มปากว่า ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวันโดยไม่มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เป็นเพราะกำลังใจจากพวกเขาทั้งนั้นเลย
        ส่วนคุณพ่อ เดียร์รู้สึกว่า ท่านได้ทำหน้าที่ในชาตินี้ได้ดีที่สุดแล้ว และคุณพ่อก็จากไปอย่างสมเกียรติ ถึงแม้คุณพ่อจะไม่ได้จากไปในหน้าที่ในสมรภูมิรบ แต่คุณพ่อจากไปในฐานะทหารของประชาชนและเป็นสมรภูมิรบเพื่อประชาธิปไตย 
@ หลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้คุณมีความสุขในชีวิตไหม


            มันไม่มีอยู่แล้ว ตอนที่อยู่กับคุณพ่อ ถึงคุณแม่จะเสียไป แต่เราก็ยังมีความสุขที่เราได้ทำอะไรให้คุณพ่อ เราทำงานได้งานมาชิ้นหนึ่ง พอเราทำสำเร็จ เราก็เอาให้คุณพ่อดู เอาไปอวดคุณพ่อ ไม่ว่าเราจะมีเรื่องอะไร ตื่นเต้น เศร้าใจ เสียใจ คุณพ่อจะเป็นคนแรกที่เดียร์นึกถึงและคุยกับเขา แต่เมื่อพอเสียคุณพ่อจากไป มันไม่มีใครแล้ว พูดให้ใครฟังก็ไม่เหมือนพูดให้พ่อกับแม่ฟัง
           ทุกวันนี้ยังคิดถึงเขา แล้วบางทีเจอเรื่องอะไรมา หยิบโทรศัพท์มาจะโทรหาคุณพ่อ แต่ทุกวันนี้ไม่มีคุณพ่อให้โทรแล้ว ถามว่ามีความสุขไหม มันไม่มีความสุข แต่ก็พยายามทำให้ตัวเองมีความสุข ทำให้ตัวเองไม่เศร้าใจ


@ แล้วคุณจะดำเนินชีวิตจากนี้ต่อไปอย่างไร ไม่ให้เศร้าใจ


           ตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ คุณพ่อจะไม่อยากให้เดียร์เครียดกับเรื่องอะไร ไม่ว่าคุณพ่อจะมีปัญหาอะไร คุณพ่อจะบอกน้องเดียร์ไปดำเนินชีวิตตามปกติ ไปสังสรรค์กับเพื่อนไปเฮฮาได้เลย ทุกอย่างมีทางแก้ คุณพ่อจะหาทางแก้ได้
          ฉะนั้นสิ่งนี้จะติดตัวเรามาถึงทุกวันนี้ พอมีเรื่องอะไร จะคิดแป๊บเดียวแล้วเราก็เลิกคิด แล้วหาความสุขใส่ตัวทุกวัน สังสรรค์กับเพื่อนบ้าง  ทำงานให้ผ่านไปได้แต่ละวัน แล้วก็มองถึงอนาคต ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่อยู่ดูแล้ว แต่เขาก็ดูเราได้จากข้างบน เหมือนทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อเขาถึงแม้เขาจะไม่อยู่ดูแล้ว
      ทุกวันนี้ ก็มีทั้งเพื่อนและแฟนเดียร์ และญาติๆ คุณป้าคุณน้า ทุกคนให้กำลังใจ โชคดีว่า ที่ผ่านมา คุณพ่อให้เดียร์ตัดสินใจเอง ฉะนั้น ถ้าเรื่องไม่หนักหนาก็จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าผิดหรือถูกเราก็ต้องยอมรับสภาพ
วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:30:13 น.  มติชนออนไลน์

เขมรใจดี

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ปีที่ 20 ฉบับที่ 7163 ข่าวสดรายวัน


 คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
 วงค์ ตาวัน

 มีทฤษฎีสืบสวนของตำรวจที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า อาชญากรย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง และหากนำเอาทฤษฎีนี้ เข้ามาจับความเป็นไปในคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย คงต้องบอกว่า เป็นโคตรแห่งการทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยทีเดียว


 เริ่มตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ มีหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้รับบาดเจ็บนอนจมกองเลือดอยู่
เลยให้การถึงคนที่เกี่ยวข้องได้

ที่สำคัญผู้บาดเจ็บบอกว่า ได้รับโทรศัพท์เน้นย้ำตลอดไม่ให้ไปไหน จนรถเข็นเงาะระเบิดตูมสนั่นจนตนเองได้รับบาดเจ็บ

จากคนเจ็บที่เหมือนจงใจให้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ตำรวจสืบสาวต่อไปได้ จากนั้นออกติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา มีการติดต่อไปรับเงินโอนจากธนาคาร

เป็นอาชญากรที่ปรากฏร่องรอยมากมาย จนหนีไปไม่รอด! ซัดทอดต่อไปถึงผู้จ้างวาน 2 สามีภรรยา อ้อ-อ้าย

ปรากฏว่าตำรวจจับกุมไม่ทัน หลบหนีข้ามแดนเข้าไปกัมพูชาก่อนแล้ว แต่แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อ เมื่อทางการกัมพูชาจับกุม 2 ผู้จ้างวานระเบิดรายนี้ แล้วส่งตัวกลับมาให้ไทยเสร็จสรรพ เล่นเอางงกันไปทั้งเมือง

เพราะผู้นำกัมพูชากับผู้นำรัฐบาลไทยนั้น เกาเหลาชามใหญ่! อีกทั้งฝ่ายไทยยังไม่ได้ร้องขอให้ช่วยจับกุมเลย แต่เขมรใจดี จับกุมมาให้เรียบร้อย

ที่น่าคิดก็คือ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สืบสวนคดีนี้ก็บอกว่างุนงงไม่น้อย

พร้อมกับบอกด้วยว่า ผู้ต้องหาคร่ำครวญว่าถูกหักหลัง พร้อมกับเอ่ยชื่อดีเจ.อ้อมกับนายพายัพ ปั้นเกตุ เป็นคนชี้ให้ตำรวจกัมพูชาจับ

แม้จะมีข้อวิเคราะห์วิจารณ์กันยกใหญ่ ว่าเขมรทิ้งแม้วหันมารักมาร์คแล้ว!??
แต่การที่กัมพูชาจับอ้อ-อ้าย แต่ยังปล่อยให้แกนนำเสื้อแดงที่เข้าไปพักพิงลอยนวลอยู่ ทฤษฎีทิ้งแม้วรักมาร์คเป็นอันจบ

งานนี้น่าจะมาจากแกนนำเสื้อแดงในกัมพูชานั่นเอง ที่รู้ดีว่าระเบิดภูมิใจไทย เป็นฝีมือใคร
หรือจะมาจากจอมวางแผนที่อยู่เบื้องหลังสร้างสถานการณ์พ.ค.เลือด!!

พอ อ้อ-อ้าย หนีเข้ามา แถมพยายามติดต่อกับแกนนำเสื้อแดงที่หลบหนีอยู่อย่างผิดสังเกต
คงมีการร้องขอให้กัมพูชาหิ้วตัวส่งกลับไป

แดงเอาคืนน้ำเงิน!

วันพุธ, กรกฎาคม 07, 2553

6 วัน 63 ล้านความหมาย สรุปว่า "อ่วม.....".

โดย ชายเหวง จากไทยฟรีนิวส์

แหล่งข่าว ที่เป็นข้าราชการพลเรือนแต่(แอบแดง)ประจำสำนักนายกฯ...

ผู้ที่มีหน้าที่สนอง Need ความต้องการสร้างภาพ

ในโครงการ 6 วัน 63 ล้านความหมาย......ได้แจ้งข่าวเล็ก ๆ มาให้ผมแซบว่า

โครงการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายก และลูกน้องอีก 2-3 นาง แอบหัวเราะกันคิก ๆ แล้วสรุปในใจว่า "อ่วม"

ซึ่งการจัดทำโคงการดังกล่าว ได้มีการเกณฑ์ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ดารา นักร้อง และนักการเมือง มาฟังความต้องการของประชาชน

"ทั้ง ๆ ที่เขาก็มาบอกความในใจก่อนหน้านี้แล้วเป็นแสนเป็นล้าน กลางถนนราชดำเนินเต็มพรืดไปจนถึงลานพระรูป"

"ดันเสือกไม่ฟัง เสือกจะฟังทางโทรศัพท์ ให้มันเปลืองเงินภาษีซะงั้น.. "



หรือว่าสิ่งที่ประชาชนบอกเป็นสิ่งที่่ไม่อยากฟัง....

หรือฟังแล้วมันแสลงใจ กรูเลยต้องฆ่าพวกมันซะ

----------------------------------------------------------------------------------------

ผลปรากฏว่า กระบวนกาีรสร้างภาพ 6 วัน 63 ล้านความหมาย

จากฝีมือของลูกกรอกคะนองฤทธิ อันลือลั่นมาจาก การถ่ายทอดร้องเพลงชาติตอนเย็นทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น (ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่ามันเตี้ยเกินไป เลยทำให้ระดับมันสมองที่อยู่เหนือพื้นดินไม่มาก เลยต่ำลงไปด้วย)

ผลปรากฏว่า แต่ละคน แต่ละ วงการ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ต่างให้ข่าวส่วนตัวอันน้อยนิดออกมา (ถ้าเป็นบ้าน ๆ เขาเรียกนินทา) ไปในทางเดียวกันว่า "หูชา" กันทั่วหน้าโดยมิได้นัดหมาย.....

เพราะประชาชนโทรมา ด่า สาบแช่ง ขับไล่ เป็นจำนวนมาก

ข่าวแว่ว ๆ จากเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน ออกมาว่า ดาราบางคนบ่นพึมพำว่า "รู้งี้ไม่มาหรอก ให้มานั่งฟังคำด่าอยู่ได้ ถ้ามีโครงการแบบนี้อีก อย่าหวังจะมาอีก"

ผลสะท้อนความรักความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลช่าง แจ่มแจ้ง แดงแจ๋....

นี่ดีนะแค่ 6 วัน ถ้ายืดไปซัก 1 เดือนหละก็

อาสาสมัครถอยกรูด ไม่เหลือซักรายแน่ เพราะที่มา ๆ หนะ ต้นสังกัดบังคับส่งมาทั้งน้านนนนนนนนนนน

----------------------------------------------

แหล่งข่าว ยังได้แจ้งออกต่อมาอีกว่า งานนี้ ลูกกรอกคะนองฤทธิ ค่อนข้า่งผิดหวัง

เพราะมันไม่คิดว่าประชาชนจะโกรธเกลียดรัฐบาลจนโทรมาด่าได้ "มากขนาดนี้"

.....................................

ฆ่าญาติพี่น้องเขาตายไปต่อหน้าแล้วจะลงมายื่นมือขอจับแล้วบอกว่าเราปรองดองกัน มาร์คเอ็งบ้าไปแล้วจริง ..ถ้า นพ.อรรถสิทธิ์ มีคนเดินไปหาแล้วชักปืนยิงด้นตายต่อหน้า มาร์ค แล้วคนที่ยิงเขาบอกว่า ผมขอโทษนะ ผมโมโหคุณที่ฆ่าพี่น้องผม แต่เราดีกันนะอย่าเอาผิดผมเลย เรามาปรองดองกันคืนความสุขความสงบให้ประเทศนะ ...มาร์ค เอ็งจะตกลงไหม

ใครกลัวอนุสาวรีย์ปราบกบฏ (บวรเดช)?


กาหลิบโดย โดย กาหลิบ
คอลัมน์เมืองไทยใครหรือเมือง? คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
ที่มา ประชาธิปไตย 100% ที่มา Democracy 100%
6 กรกฎาคม 2553 6 กรกฎาคม 2553

เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่มีวันหยุดเมื่อสั่งฆ่าประชาชนและปกป้องรัฐบาลเปื้อนเลือดของตัวเองไว้ได้แล้วอันดับต่อไปคือการทำลายประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้หมดสิ้นชิ้นล่าสุดคือคำสั่งลับและด่วนให้ เร่งงานทำลายอนุสาวรีย์ปราบกบฏที่วงเวียนหลักสี่ลงโดยพลัน เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่มีวันหยุด เมื่อสั่งฆ่าประชาชนและปกป้องรัฐบาลเปื้อนเลือดของตัวเองไว้ได้แล้ว อันดับต่อไปคือการทำลายประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้หมดสิ้น ชิ้นล่าสุดคือคำสั่งลับและด่วนให้เร่งงานทำลายอนุสาวรีย์ปราบกบฏที่วงเวียนหลักสี่ลงโดยพลัน

การทำลายก็ทำอย่างอำพรางโดยอ้างว่าเป็นแผนและโครงการที่มีอยู่แล้วของกรมทางหลวงเพื่อปรับผิวการจราจรให้แถบนั้นเสียใหม่ การทำลายก็ทำอย่างอำพราง โดยอ้างว่าเป็นแผนและโครงการที่มีอยู่แล้วของกรมทางหลวงเพื่อปรับผิวการจราจรให้แถบนั้นเสียใหม่

ฟังเผินๆก็พอจะเข้าหูอยู่หรอกครับ แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปแล้วก็น่าหัวร่อ ฟังเผินๆ ก็พอจะเข้าหูอยู่หรอกครับ แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปแล้วก็น่าหัวร่อ

เพราะเห็นชัดว่าเป็นการอำพรางอำนาจเผด็จการเหมือนใช้รถกระบะพุ่งชนรถมอเตอร์ไซด์ที่อดีตการ์ดนปช เพราะเห็นชัดว่าเป็นการอำพรางอำนาจเผด็จการ เหมือนใช้รถกระบะพุ่งชนรถมอเตอร์ไซด์ที่อดีตการ์ด นปช. ชื่อ"น้ำหวาน"นั่งซ้อนมาจนตายคาที่แล้วออกข่าวว่าเป็นอุบัติเหตุนั่นแหละ ชื่อ “น้ำหวาน” นั่งซ้อนมา จนตายคาที่แล้วออกข่าวว่าเป็นอุบัติเหตุนั่นแหละ

อนุสาวรีย์แห่งนี้เรียกชื่อเต็ม ๆ ว่าอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงการปราบปรามกบฏบวรเดช อนุสาวรีย์แห่งนี้ เรียกชื่อเต็มๆ ว่า อนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงการปราบปรามกบฏบวรเดช

เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2476 แต่มาเริ่มสร้างอนุสาวรีย์เอาในปี พ.ศ. 2479 เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๗๖ แต่มาเริ่มสร้างอนุสาวรีย์เอาในปี พ.ศ.๒๔๗๙

เมื่อคณะราษฎรกระทำการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นในสยามประเทศและประนีประนอมกับระบอบเก่าโดยรักษากษัตริย์ไว้เป็นประมุขในเชิงสัญลักษณ์สยามก็เข้าสู่วงจรของการช่วงชิงอำนาจในลักษณะใหม่คือฝ่ายเจ้าและอำมาตย์พยายามใช้สายสัมพันธ์และเครือข่าย ที่สร้างสมมายาวนานมาโค่นคณะปฏิวัติและชิงอำนาจคืนให้จงได้ เมื่อคณะราษฎรกระทำการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นในสยามประเทศ และประนีประนอมกับระบอบเก่าโดยรักษากษัตริย์ไว้เป็นประมุขในเชิงสัญลักษณ์ สยามก็เข้าสู่วงจรของการช่วงชิงอำนาจในลักษณะใหม่ คือฝ่ายเจ้าและอำมาตย์ พยายามใช้สายสัมพันธ์และเครือข่ายที่สร้างสมมายาวนานมาโค่นคณะปฏิวัติและชิงอำนาจคืนให้จงได้

เงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 200,000 บาทอันเป็นก้อนมหาศาลในยุคนั้นกลายเป็นทุนหลักในการก่อหวอดรัฐประหารของฝ่ายเจ้าเพื่อโค่นฝ่ายประชาชนโดยให้อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลเจ้า ได้แก่ พลเอกพระวรวงศ์ เธอพระองค์เจ้าบวรหัวหน้าเดชเป็น เงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นก้อนมหาศาลในยุคนั้น กลายเป็นทุนหลักในการก่อหวอดรัฐประหารของฝ่ายเจ้าเพื่อโค่นฝ่ายประชาชน โดยให้อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลเจ้า ได้แก่ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้า

พระยาศรีสิทธิสงครามหรือดิ่นท่าราบผู้เป็นหมายเลขสองของคณะคือตาแท้ๆของพลเอกสุรยุทธ์จุลานนท์องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีเขายายเที่ยงต่อมาถูกฝ่ายรัฐบาลยิงตายเสียที่หินลับ (เสียงคร่ำครวญของลูกสาวคือ แพทย์หญิงโชติศรีท่าราบอ่านได้ในหนังสือเรื่อง"กำสรวลพระยาศรีฯ "ที่มติชนพิมพ์มานานหลายปีแล้วแพทย์หญิงโชติศรีฯ ผู้ภายหลังมาใกล้ชิดอย่างยิ่งกับค่ายมติชนน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บาง คนในค่ายมติชนเดินห่างจากฝ่ายประชาชนไปสวามิภักดิ์กับกลุ่มอันธพาลที่ฆ่าประชาชนได้เหมือนสัตว์) พระยาศรีสิทธิสงคราม หรือ ดิ่น ท่าราบ ผู้เป็นหมายเลขสองของคณะ คือตาแท้ๆ ของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีเขายายเที่ยง ต่อมาถูกฝ่ายรัฐบาลยิงตายเสียที่หินลับ (เสียงคร่ำครวญของลูกสาว คือแพทย์หญิงโชติศรี ท่าราบ อ่านได้ในหนังสือเรื่อง “กำสรวลพระยาศรีฯ” ที่มติชนพิมพ์มานานหลายปีแล้ว แพทย์หญิงโชติศรีฯ ผู้ภายหลังมาใกล้ชิดอย่างยิ่งกับค่ายมติชน น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บางคนในค่ายมติชนเดินห่างจากฝ่ายประชาชน ไปสวามิภักดิ์กับกลุ่มอันธพาลที่ฆ่าประชาชนได้เหมือนสัตว์)

ฝ่ายรัฐบาลสู้เต็มที่และได้รับชัยชนะถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยใช้กำลังจนได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายศักดินาเดิมที่เป็นเสมือนเชื้อชั่วไม่ได้ยอมตาย ฝ่ายรัฐบาลสู้เต็มที่ และได้รับชัยชนะ ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยใช้กำลังจนได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายศักดินาเดิมที่เป็นเสมือนเชื้อชั่วไม่ยอมตายได้

หลักตัวการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นเกือบจะไม่ได้ใช้กำลังเลยเพราะใช้กลยุทธ์ความประหลาดใจชั้นเชิง (แห่งความประหลาดใจ) เป็น ตัวการปฏิวัติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นเกือบจะไม่ได้ใช้กำลังเลย เพราะใช้กลยุทธ์ความประหลาดใจ (tactic of surprises) เป็นหลัก

แต่ประโยชน์ใหญ่คือการกวาดบ้านในคณะราษฎรเองเพราะหลังกบฏบวรเดชบทบาทของฝ่ายประชาธิปไตย แต่หัวใจเจ้าก็ลดหรือหมดลงไปเช่นพระยาทรงสุรเดชและอีก 3 ทหารเสือพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นต้นสายของพระยาพหลพล พยุหเสนาและหลวงพิบูลสงครามกลับผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่แทนดร . ปรีดีพนมยงค์ที่ถูกขับไล่ออกไปจากประเทศเพราะเขียนแถลงการณ์ทิ่มแทงใจเจ้าและคนในฝ่ายประชาธิปไตยหัวใจเจ้าก็ได้เดินทางกลับมาอย่างผู้ชนะ แต่ประโยชน์ใหญ่คือการกวาดบ้านในคณะราษฎรเอง เพราะหลังกบฏบวรเดช บทบาทของฝ่ายประชาธิปไตยแต่หัวใจเจ้า ก็ลดหรือหมดลงไป เช่น พระยาทรงสุรเดชและอีก ๓ ทหารเสือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นต้น สายของพระยาพหลพลพยุหเสนาและหลวงพิบูลสงครามกลับผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่แทน ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ถูกขับไล่ออกไปจากประเทศ เพราะเขียนแถลงการณ์ทิ่มแทงใจเจ้าและคนในฝ่ายประชาธิปไตยหัวใจเจ้า ก็ได้เดินทางกลับมาอย่างผู้ชนะ

การปราบกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. 2476 จึงเป็นธรณีประตูที่ทำให้ฝ่ายไพร่ก้าวลึกเข้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้เพราะฝ่ายเจ้าไม่สามารถโงหัวได้อีกเลยจนถึงการรัฐประหารเมื่อวันที่ที่จอมพลป 8 พฤศจิกายน 2490 . พิบูลสงครามร่วมกับฝ่ายเจ้าโค่นล้มดร . ปรีดีพนมยงค์ (แต่ต่อมาจอมพลป . ฯ กับเจ้ากลับเป็นศัตรูที่เคียดแค้นกันยิ่งกว่า) ประชาธิปไตยจึงได้รับโอกาสให้งอกขึ้นได้ถ้าฝ่ายบวรเดชชนะป่านนี้เรา จะย้อนกลับไปเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันขนาดไหนก็ไม่รู้ การปราบกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ จึงเป็นธรณีประตูที่ทำให้ฝ่ายไพร่ก้าวลึกเข้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้ เพราะฝ่ายเจ้าไม่สามารถโงหัวได้อีกเลยจนถึงการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ร่วมกับฝ่ายเจ้าโค่นล้ม ดร.ปรีดี พนมยงค์ (แต่ต่อมาจอมพล ป. ฯ กับเจ้า กลับเป็นศัตรูที่เคียดแค้นกันยิ่งกว่า) ประชาธิปไตยจึงได้รับโอกาสให้งอกขึ้นได้ ถ้าฝ่ายบวรเดชชนะ ป่านนี้เราจะย้อนกลับไปเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันขนาดไหนก็ไม่รู้

กรมทางหลวงอย่ามาอ้างแผนปรับผิวจราจรให้มันขบขันกันเลยอนุสาวรีย์ขนาดเล็กจิ๋วอย่างนั้นไม่ขวางทางใครแน่ทางราชการปรับพื้นที่ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันโดยรักษาตัวอนุสาวรีย์ไว้ได้พร้อมกัน กรมทางหลวงอย่ามาอ้างแผนปรับผิวจราจรให้มันขบขันกันเลย อนุสาวรีย์ขนาดเล็กจิ๋วอย่างนั้นไม่ขวางทางใครแน่ ทางราชการปรับพื้นที่ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน โดยรักษาตัวอนุสาวรีย์ไว้ได้พร้อมกัน

ใครยังไม่เคยเห็นก็ควรไปดูเสียให้ประจักษ์ว่าการรื้ออนุสาวรีย์เป็นเพียงข้ออ้างอย่างสามานย์เพื่อทำลายความทรงจำของฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้นใช่ไม่หรือ ใครยังไม่เคยเห็นก็ควรไปดูเสียให้ประจักษ์ว่า การรื้ออนุสาวรีย์เป็นเพียงข้ออ้างอย่างสามานย์เพื่อทำลายความทรงจำของฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้นใช่หรือไม่

เราต้องรักษาอนุสาวรีย์ปราบกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชไว้เป็นอนุสติด้วยประการทั้งปวง เราต้องรักษาอนุสาวรีย์ปราบกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชไว้เป็นอนุสติด้วยประการทั้งปวง

คนรุ่นนี้และรุ่นต่อไปจะได้เข้าใจซาบซึ้งว่าการฆ่าโหดประชาชนที่ราชประสงค์ไม่ใช่ความโหดร้ายครั้งแรกของคนบางคนและบางโคตรตระกูลไทยในเมือง คนรุ่นนี้และรุ่นต่อไปจะได้เข้าใจซาบซึ้งว่า การฆ่าโหดประชาชนที่ราชประสงค์ ไม่ใช่ความโหดร้ายครั้งแรกของคนบางคนและบางโคตรตระกูลในเมืองไทย.




วันอังคาร, กรกฎาคม 06, 2553

นิทานอีสปหนูน้อยหมวกแดง กับ นิทานอีแสปคุณย่าสุนัขจิ้งจอกปากแดง

โดย rungsira รุ่งศิลา




เขียนกลอนถึงคุณย่ามา แต่ปี 2551 ปีมะโว้โน้น 
.... เห็นชัดชัดกันละยังหละ .... เห็นชัดชัด กันละยังหละ


"เอเชีย อัพเดต"แนวรบใหม่เพื่อไทย

จตุพรซัดอ้อ-อ้าย สายลับรัฐบาล หวังล่ากี้ร์-แรมโบ้

Pic_94049
นายจตุพร พรหมพันธุ์

จตุพร พรหมพันธุ์ ซัด อ้อ-อ้าย สายลับรัฐบาล ชี้เหตุถูกทางการกัมพูชา ส่งตัวให้ไทย เพราะแฝงตัวไปหวัง สืบหา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และ สุพร อัตถาวงศ์ ยัน 4 ผู้ต้องหาบึมภูมิใจไทย ไม่ใช่การ์ด นปช.

ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลอาญา วันที่ 5 ก.ค. 2553 ศาลนัดไต่สวนในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ร้อง มอบอำนาจให้ นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความ ยื่นคำคัดค้านการออกหมายจับ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1-3 ที่ศาลอาญา อนุมัติหมายจับไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา

นัดนี้ทนายความผู้ร้องนำนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ขึ้นเบิกความถึงประเด็นที่มาร่วมอุดมการณ์ดำเนินกิจกรรมการเมือง ภายใต้การเป็นผู้นำพรรคการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า หลังจากเกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 ตนและกลุ่ม ส.ส. ส่วนหนึ่ง เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะฮ่องกง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าตนและครอบครัวเป็นคนไทย ต้องกลับไปตายที่ประเทศไทย โดยศาล นัดไต่สวนพยานปากต่อไปวันที่ 8 พ.ย.53 เวลา 13.30 น.

ขณะเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวระหว่างเดินทางไปที่ศาลอาญา ถึง กรณีเตรียมยื่นฟ้องหมิ่นประมาท นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า มอบหมายให้ทนายความ ยื่นฟ้องนายเทพไท ฐานหมิ่นประมาทฯ ต่อศาลอาญาแล้ว หลังจากมีการกล่าวหาว่าตนนำประชาชนไปก่อกวนที่บริเวณศาลอาญาในวันที่มีการฝากขัง 11 แกนนำ นปช. เป็นความเท็จทั้งสิ้น

ส่วนที่กล่าวหาว่าตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือวางแผนตากสิน2 ลอบสังหารบุคคลสำคัญนั้น ยืนยันว่าแผนดังกล่าวเป็นความเท็จ มีหน่วยงานด้านความมั่นคงเป็นผู้สร้างสถานการณ์ขึ้นมา ตนไม่เคยมีแผนใดๆ เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ที่ผ่านมายึดแนวทางสันติวิธี ในทางตรงกันข้ามพวกตนกลับตกเป็นเป้าลอบทำร้าย จึงเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้หยุดใส่ร้ายประชาชน ที่ไม่มีโอกาสชี้แจง

นายจตุพร ยังกล่าวถึงการจับกุมตัวสองผู้ต้องหาก่อวินาศกรรมพรรคภูมิใจไทยที่ทางการเขมรส่งตัวกลับมา ว่า ได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.แล้ว ทำให้เกิดความสงสัยในพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้งสอง ว่าหลังจากทั้งสองเข้าไปประเทศกัมพูชาแล้ว มีการกล่าวอ้างว่า ต้องการพบตัวแกนนำ นปช.เช่น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ อีสาน จะไปพบกันได้ที่ไหน ทางการกัมพูชา เกรงว่าจะเป็นการส่งสายลับมาหรือไม่

นอกจากนี้ มีการกล่าวอ้างว่า กลุ่มแกนนำ และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ส่งผู้ต้องหาทั้งสองไป เป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะ พ.อ.อภิวันท์ ปฏิเสธไม่รู้จักผู้ต้องหาทั้งสอง ทางการกัมพูชา จึงสงสัยต่อพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้งสอง เนื่องจากกัมพูชาเคยปฏิเสธแล้วว่า นายอริสมันต์ และนายสุพร ไม่ได้อาศัยในประเทศ เมื่อลำดับเหตุการณ์ระเบิดที่พรรคภูมิใจไทย ด้วยรถเข็นเงาะ ได้ค่าจ้างแค่สองพันบาทเป็นเหมือนนิยาย คดีนี้จึงน่าสงสัยว่าเป็นการจัดฉากอย่างชัดเจน ตนไม่เคยรู้จักผู้ต้องหาทั้งสอง และยืนยันว่าผู้ต้องหาอีก 2 คนที่ถูกจับตั้งแต่แรกไม่ใช่การ์ด นปช.แหลมฉบัง พวกนี้ไม่ใช่แนวร่วมเดียวกันตนจึงไม่กลัวว่าจะเสียแนวร่วม เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นรัฐบาลคือผู้ได้ประโยชน์ ขณะที่พวกตนเสียประโยชน์

ข่าวhttp://www.thairath.co.th/content/pol/94049

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 04, 2553

สังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบนจริงหรือ?

วิพากษ์ “บทวิพากษ์ ของคุณวรวิทย์ ต่อทัศนะของธง แจ่มศรี”

โดย อรุโณทัย
มิถุนายน 2553

คุณวรวิทย์ได้เขียนบทความตีพิมพ์ใน “วารสารเสียงชาวบ้าน” ฉบับที่ 50 ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 คอลัมน์ส่องกล้องมองสังคม วิพากษ์ ทัศนะของ ธง แจ่มศรี ที่เห็นว่า รากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้ว แต่โครงสร้างชั้นบนยังเป็นศักดินาอยู่ ซึ่งคุณวรวิทย์เห็นว่า สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน คือการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้ว แต่ยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์และไม่สมประกอบ

อะไรคือรากฐานเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน รากฐานเศรษฐกิจ ตามคำจำกัดความหมายถึง ผลรวมของความสัมพันธ์ทางการผลิตในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ที่แน่นอนของสังคมหนึ่ง ๆ (บ้างเรียกว่าแบบวิธีการผลิต เช่น ในสังคมศักดินา แบบวิธีการผลิตคือเศรษฐกิจธรรมชาติผลิตเพื่อกินเองใช้เอง จะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็ย่อมได้ สังคมทุนนิยม แบบวิธีการผลิตคือ เศรษฐกิจสินค้า ผลิตเพื่อขาย เพื่อการตลาด ไม่ใช่ผลิตเพื่อกินเองใช้เอง เป็นต้น) ส่วนโครงสร้างชั้นบนหมายถึง ทัศนะทางการเมือง กฎหมาย ศีลธรรม ปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รูปการจิตสำนึก เป็นต้น

การพิจารณาว่าสังคมหนึ่งๆ อยู่ในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ขั้นใดนั้นก็พิจารณาได้จากรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

สำหรับสังคมไทยอยู่ในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ขั้นใดนั้น มีการถกเถียงกันมายาวนาน จนถึงปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่ คุณ ธง เห็นว่า สังคมไทยกล่าวจากรากฐานทางเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมแล้ว แต่โครงสร้างชั้นบนยังไม่ใช่ คุณวรวิทย์เห็นว่า สังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน การเมืองการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้วตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนก็ได้สำเร็จลุล่วงแล้วโดยพื้นฐาน

รากฐานเศรษฐกิจของสังคมไทย ทั้งคุณธง และคุณวรวิทย์ไม่ได้เห็นต่าง และผมก็เห็นด้วยกับทั้ง 2 ท่านคือ ถ้าวิเคราะห์ตามหลักที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เห็นได้ชัดว่ารากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยโดยพื้นฐานแล้วเป็นแบบวิธีการผลิตของทุนนิยม คือเป็นเศรษฐกิจสินค้า ผลิตเพื่อขายเพื่อการตลาด ไม่ใช่ผลิตเพื่อกินเองใช้เอง ส่วนรูปแบบการขูดรีดนั้นก็เป็นการขูดรีดในรูปมูลค่าส่วนเกินโดยพื้นฐาน ไม่ใช่การขูดรีดในรูปของค่าเช่าดอกเบี้ย ซึ่งเป็นรูปการขูดรีดหลักของสังคมศักดินา แต่ว่า การขูดรีดแบบศักดินาซ่อนรูปมีอยู่ในสังคมไทยหรือไม่ อยากให้คุณวรวิทย์ไปศึกาษาค้นคว้าให้มากกว่านี้ ก็จะพบความจริงที่น่าตกใจ

ประเด็นที่เห็นต่างคือโครงสร้างชั้นบน ทัศนะทางการเมือง การปกครอง กฎหมาย ศีลธรรม ปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รูปการจิตสำนึก คุณวรวิทย์เห็นว่า การเมืองการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้วโดยพื้นฐาน แม้จะยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์และไม่สมประกอบก็ตาม และวิพากษ์ ธง แจ่มศรีว่าไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยเฉพาะตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้อ่านและเข้าใจเนื้อหาหลักในรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา จึงยังละเมอว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเหนือรัฐอยู่ และวิพากษ์คุณธงว่าเอากระพี้ มาเป็นแก่น เอาแก่นมาเป็นกระพี้ เอาส่วนน้อยมาเป็นส่วนใหญ่ เอาส่วนใหญ่มาเป็นส่วนน้อย ผมว่าคุณ วรวิทย์ เองนั่นแหละไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เอารูปแบบมาแทนเนื้อหา เอาปรากฏการณ์มาแทนธาตุแท้ ไม่ยอมทำความเข้าใจว่าลายลักษณ์อักษรบนแผ่นกระดาษกับการปฏิบัติจริงมันตรงกันหรือเปล่า คุณวรวิทย์ ยกเอาขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์มาอธิบาย ยืนยันทัศนะของตัวเอง แต่ละเลยไม่ยอมเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์เพื่ออะไร เพื่อการเรียนรู้ ยึดกุมกฎการพัฒนาของมัน จะได้ช่วยกันผลักดันกงล้อประวัติศาสตร์ให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้า ไม่ทำตัวเป็นผู้ขวางกงล้อประวัติศาสตร์ ฉุดรั้งประวัติศาสตร์ให้ถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งท้ายที่สุดถูกกงล้อประวัติศาสตร์บดขยี้จนแหลกลาน แต่ดูเหมือนว่าคุณวรวิทย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการศึกษาประวัติศาสตร์เลยแม้แต่น้อย กลับมีหน้ามาวิจารณ์คนอื่นว่าหลงละเมอเพ้อพก แถมยกเอาคำสอนของปรมาจารย์ปฏิวัติที่บอกว่า การศึกษาต้องใช้ท่วงทำนอง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ไม่ใช่ท่วงทำนองที่ยโสโอหัง “สำคัญว่าตนถูกต้องเสมอ” และ “ชอบวางตนเป็นอาจารย์ของผู้อื่น” มาสั่งสอนคุณธง ผมว่า คุณวรวิทย์ ควรเก็บคติพจน์ของปรมาจารย์บทนี้ไว้สั่งสอนตนเอง น่าจะตรงเป้ากว่า “หาสัจจะจากความเป็นจริง” คืออะไร “สัจจะ” หมายถึงสัจธรรม ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ คือความสัมพันธ์ภายในที่เป็นแก่นหรือธาตุแท้ของสรรพสิ่ง “ความเป็นจริง” หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทางภววิสัย ไม่ใช่จากตัวหนังสือสวยหรูที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษ หรือสิ่งที่คาดเดาเอาเองทางอัตวิสัย คุณวรวิทย์ พูดถึงเนื้อหาหลักของรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ หาว่าคุณธงไม่ได้อ่านไม่ได้ทำความเข้าใจ ทำไมต้องมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ คุณ วรวิทย์ ละเว้นไม่ยอมพูดถึง มันถูกฉีกทิ้งโดยคณะรัฐประหารแล้วเขียนใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจตัวจริงใช่หรือไม่ใช่ คุณวรวิทย์มองข้ามประเด็นนี้ไปได้อย่างไร เนื้อหาหลักหรือหลักการ รวมทั้งบทบัญญัติที่เขียนไว้สวยหรูในรัฐธรรมนูญ ถ้าใช้ได้จริง ทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติจริง ก็ไม่ต้องมีถึง 18 ฉบับ ฉบับที่ 1 ผู้มีอำนาจแท้จริงไม่ยึดถือปฏิบัติ จึงมีฉบับที่ 2 ที่ 3,4,5 ตามมาจนถึงฉบับที่ 18 และยังอาจมีฉบับที่ 19, 20 ไปสิ้นสุดในฉบับที่เท่าไรไม่มีใครรู้ ขึ้นอยู่กับความพอใจหรือไม่พอใจของผู้มีอำนาจแท้จริง รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่เข้ามาแทนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการแก้ไขเพิ่มเติมโดยผู้มีอำนาจที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญคือรัฐสภา หากแต่เกิดจากการฉีกทิ้งโดยบุคคลคนเดียวหรือคณะบุคคลเพียงไม่กี่คน แล้วอย่างนี้คุณวรวิทย์ ยังจะเพ้อฝันและจริงจังกับข้อความสวยหรูที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษของรัฐธรรมนูญ จะไม่ไร้เดียงสาไปหน่อยหรือ อเมริกาตั้งแต่ประกาศเอกราชมาเป็นเวลากว่า 200 ปีมีรัฐธรรมนูญแค่ฉบับเดียว เขาเทิดไว้เหนือเกล้าถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างหอเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ ชื่นชม กล่าวขานว่านั่นคือกฎหมายสูงสุด เขียนรับรองการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของพวกตนไว้ ใครบังอาจฉีกทิ้ง ก็ต้องขอสู้ตายถวายชีวิต แต่ของไทยไม่ถึง 80 ปี ใช้รัฐธรรมนูญสิ้นเปลืองถึง 18 ฉบับ ประชาชนแค่ฉีกบัตรเลือกตั้งโดยไม่ตั้งใจก็ผิดกฎหมายแล้ว ถูกจับไปดำเนินคดี เสียค่าปรับ เผลอ ๆ อาจติดคุกหัวโต แต่ทหารฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไม่ผิดกฎหมาย ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย แถมมีพวกสอพลอออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ ไม่ต้องรับผิดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่านี่คือประเทศไทยที่เขาบอกว่า พวกอำมาตย์ไม่ว่าทำอะไรก็ถูกหมด ส่วนประชาชนคนธรรมดาหรือไพร่สามัญไม่ว่าทำอะไรก็ผิดหมด และนี่คือสัจธรรมที่ คุณวรวิทย์ แกล้งทำมองไม่เห็น คุณวรวิทย์ พูดถึง 14 ตุลา 2516 ว่าประชาธิปไตยมีการพัฒนามากขึ้น แต่ละเว้นไม่ยอมเอ่ยถึงว่าในช่วงเวลาที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น ผู้นำของขบวนการประชาธิปไตยได้สังเวยชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไปแล้วกี่ศพ และภายหลังจากนั้นอีก 3 ปี คือในวันที่ 6 เดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 เกิดการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชาธิปไตยที่พัฒนามาได้ 3 ปีถูกทำลายจนหมดสิ้นโดยฝีมือใคร ลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง คนพวกนี้เป็นใคร? มาจากไหน? ใครจัดตั้ง? คุณวรวิทย์ ยกเอากรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรขับไล่ทักษิณ ที่มีคนเสนอให้ใช้ มาตรา 7 ขอนายกพระราชทานตามรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อยุติความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและกำลังเข้าสู่ทางตันซึ่งในหลวงท่านเห็นว่าทำไม่ได้ แสดงว่ากษัตริย์ไทยไม่มีอำนาจเหนือรัฐในเรื่องสำคัญของการปกครอง แต่คุณวรวิทย์ หลีกเลี่ยงไม่ยอมเอ่ยถึงว่าภายหลังจากนั้นไม่นานสถานการณ์ความขัดแย้งก็จบลงด้วยการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 โดยฝีมือใคร คุณวรวิทย์อาจเถียงว่า นั่นมันพวกทหารเขาทำ ไม่เกี่ยวกับสถาบันศักดินา ก็ใช่ โดยรูปแบบแล้วเป็นอย่างนั้นจริง แต่เนื้อแท้แล้วมันคืออะไร ก่อนหน้านั้นใครออกมาพูดเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ ส่งสัญญาณให้ทหารใช้ปืนโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องเป็นถึงดอกเตอร์ แค่ชาวบ้านธรรมดาก็อ่านเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เว้นแต่เขาผู้นั้นจะแกล้งโง่ ทำเป็นอ่านไม่ออก

การรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยคณะนายทหารเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถูกคุมกำเนิด แคระแกน ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยซึ่งเขียนรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่มีโอกาสเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่มีโอกาสเรียนรู้เพราะถูกคุมกำเนิดอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังถูกพวกชนชั้นสูงในสังคมตราหน้าว่า โง่ งก เห็นแก่เงินไม่กี่บาท เลือกเอาคนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง

นายทหารไทยที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยด้วยระบอบเจ้าขุนมูลนาย จารีตนิยมนั้น เป็นพวกแคปปิตอลลิสต์ หัวเสรีนิยม หรือฟิวดัลลิสต์ หัวอนุรักษ์นิยม? คำตอบก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ ฉะนั้น การรัฐประหารแต่ละครั้งล้วนทำให้การเมืองการปกครองถอยห่างจากระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนและเข้าใกล้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยของชนชั้นศักดินามากขึ้นทุกที จนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างก็เห็นกันโทนโท่ ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม คำว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ตามความเข้าใจของผมก็หมายถึงว่า โดยรูปแบบแล้ว เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาไม่ใช่ เปลือกนอกเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อในไม่ใช่ ทางทฤษฎีเป็นประชาธิปไตย แต่ทางปฏิบัติไม่ใช่ ทางนิตินัยเป็นประชาธิปไตย แต่พฤตินัยไม่ใช่ โดยทางทฤษฎี รูปแบบภายนอกและนัยทางกฎหมายมีรัฐธรรมนูญระบุเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจนว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงอำนาจนี้จะถูกปล้นชิงแย่งยึดกลับไปเมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ความพอใจหรือไม่พอใจของกูผู้มีอำนาจอยู่เหนือ เพราะในประวัติศาสตร์ตลอดเวลาเกือบ 80 ปี เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และนั่นคือคำตอบว่าทำไมจึงมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ เพราะฉะนั้นมันจะต่างอะไรกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีคำว่าใหม่อยู่ในวงเล็บก็เพื่อจะจำแนกให้เห็นว่าไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบดั้งเดิมที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งรูปแบบและเนื้อหา ทั้งเปลือกนอกและเนื้อใน ทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ทั้งนิตินัยและพฤตินัย เข้าใจง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน คุณวรวิทย์ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเฉไฉไปพูดว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ แน่นอน ในทางทฤษฎีไม่มีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงเป็นอย่างไร คงไม่ต้องอธิบาย อำนาจเหนือรัฐ อิทธิพลนอกรัฐธรรมนูญ อำนาจนอกระบบ มือที่มองไม่เห็น ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดนี้ศัพท์ต่างกันแต่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือหมายถึงอำนาจแท้จริงที่ครอบงำสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่านั่นคือเจ้าของอำนาจตัวจริง แต่โดยความเป็นจริง นี่แหละเจ้าของอำนาจตัวจริง

คุณวรวิทย์น่าจะไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 มาถึงปัจจุบันสักหน่อยว่า ในจำนวนนายกรัฐมนตรี 27 นายนั้น มีนายกรัฐมนตรียศนายพลจากการรัฐประหารกี่นาย นายกรัฐมนตรีพลเรือนจากการเลือกตั้งของประชาชนกี่นาย แต่ละนายอยู่ในตำแหน่งกี่ปี ส่วนไหนมากกว่ากัน และรัฐบาลโดยคณะรัฐประหารกับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรัฐบาลใดอยู่ในอำนาจยาวนานกว่ากันในช่วงเวลา 80 ปี เอามาเปรียบเทียบกัน ก็จะพบความจริงที่สามารถอธิบายอะไรได้หลาย ๆ อย่าง และสามารถนำไปสู่ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น ไม่มีอำนาจแท้จริง ไม่เคยกุมกลไกอำนาจรัฐที่สำคัญโดยเฉพาะคือกองกำลังติดอาวุธได้เลย จากนั้น เราก็สามารถได้ข้อสรูปว่าประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนได้สถาปนาในสังคมไทยแล้วจริงหรือไม่? ซึ่งคุณวรวิทย์ คงไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น เพราะอยากจะเดินทางลัด ทำการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ตามแบบฉบับของจีนแล้วก้าวไปสู่สังคมนิยมเลยดีกว่า ง่ายดี

อะไรคือการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ การปฏิวัติประชาธิปไตยเป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่โค่นล้มชนชั้นศักดินา นำเอาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนมาแทนที่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยของชนชั้นศักดินาซึ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ระหว่างศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 19 การปฏิวัตินี้นำโดยชนชั้นนายทุน จึงเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ส่วนการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่นั้นยังคงอยู่ในบริบทของการปฏิวัติประชาธิปไตยแต่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนซึ่งนำการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ ทฤษฎีนี้นำเสนอโดยปรมาจารย์นักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่เหมาเจ๋อตงและนำสู่การปฏิบัติจนประสบความสำเร็จในประเทศจีนมาแล้ว ทฤษฎีนี้เจ้าของทฤษฎีคือเหมาเจ๋อตงได้วิเคราะห์จากเงื่อนไขประวัติศาสตร์ คือยุคจักรวรรดินิยมกับการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ เห็นว่าหลังการปฏิวัติสังคมนิยมเดือน 10 ปี 1917 ของรัสเซียได้รับชัยชนะ ก็ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของประวัติศาสตร์ ขีดเส้นแบ่งยุคแบ่งสมัยของโลกทั้งโลก ชี้ว่า “ในยุคดังกล่าว ถ้าหากเกิดการปฏิวัติในประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้นที่คัดค้านจักรวรรดินิยม ซึ่งก็คือคัดค้านชนชั้นนายทุนโลก คัดค้านทุนนิยมโลก การปฏิวัตินั้นก็ไม่จัดอยู่ในขอบข่ายของการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนโลกเก่าอีกต่อไป หากแต่จัดอยู่ในขอบข่ายใหม่ ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลกของชนชั้นนายทุน และทุนนิยมอีกต่อไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลกของชนชั้นกรรมาชีพและสังคมนิยมแล้ว การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้นชนิดนี้ ขั้นตอนแรก ก้าวที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าพิจารณาจากลักษณะสังคม โดยพื้นฐานแล้วยังคงเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ข้อเรียกร้องทางภววิสัย คือขจัดสิ่งกีดขวางบนหนทางพัฒนาของทุนนิยม แต่ว่า การปฏิวัตินี้จะไม่ใช่การปฏิวัติที่นำโดยชนชั้นนายทุนซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสถาปนาสังคมทุนนิยม สร้างอำนาจรัฐเผด็จการของชนชั้นนายทุน หากแต่เป็นการปฏิวัติที่นำโดยชนชั้นกรรมาชีพที่มีเป้าหมายขั้นแรกเพื่อสถาปนาสังคมประชาธิปไตยแบบใหม่ สร้างอำนาจรัฐเผด็จการร่วมของชนชั้นที่ปฏิวัติทุกชนชั้น เพราะฉะนั้นการปฏิวัตินี้ ก็เป็นการขจัดสิ่งกีดขวางบนหนทางสายใหญ่ของการพัฒนาสังคมสังคมนิยมพอดิบพอดี” (จากสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง เล่ม 2)

ทฤษฎีนี้ใช้ได้ในยุคสงครามกับการปฏิวัติ ถือเป็นสัจธรรมทั่วไป และเมื่อนำไปปฏิบัติโดยประสานกับสภาพรูปธรรมของสังคมประเทศจีนเก่าในยุคนั้น ก็ประสบผลสำเร็จในยุคดังกล่าว แต่ปัจจุบันเป็นยุคสันติภาพกับการพัฒนา และสัจธรรมทั่วไปต้องนำไปปฏิบัติโดยประสานกับสภาพรูปธรรมและลักษณะเฉพาะของสังคมแต่ละสังคม ประเด็นคือ ปัจจุบันที่เรียกกันว่ายุคสันติภาพกับการพัฒนา การนำเสนอประเด็นนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางภววิสัยหรือไม่ และที่สำคัญสัจธรรมทั่วไปต้องนำมาประสานกับสภาพรูปธรรมและลักษณะเฉพาะของสังคมแต่ละสังคม ลักษณะทั่วไปของสังคมประเทศจีนเก่ากับสังคมประเทศไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกันคือ ต่างจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้น แต่ลักษณะเฉพาะของสังคมประเทศจีนเก่ากับลักษณะเฉพาะของสังคมประเทศไทยมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งเงื่อนไขประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ประเทศจีนเก่าผ่านการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนแบบเก่าซึ่งนำโดย ดร.ซุนยัดเซ็นที่เรียกกันว่าการปฏิวัติซินไฮ่ในปี ค.ศ. 1911 หรือ พ.ศ. 2454 โค่นล้มราชวงศ์ชิง สถาปนาประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนภายใต้ระบอบสาธารณรัฐ สำหรับประเทศไทยที่พอจะฝืนเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ในปี พ.ศ.2475 หรือ ค.ศ.1932 ซึ่งนำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ทำให้ชนชั้นศักดินาจำยอมสละอำนาจ สร้างประชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประเทศจีนเก่าหลังการปฏิวัติซินไฮ่ ได้สร้างอำนาจรัฐเผด็จการโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวคือพรรคกั๋วหมินตั่งหรือก๊กมิ่นตั๋งมาโดยตลอดจนถึงปี 1949 หรือ พ.ศ. 2492 จึงถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตง ช่วงเวลา 38 ปี นับจากปี 2454 ถึงปี 2492 ผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ๆ คือช่วงแรกที่พรรคกั๋วหมินตั๋งนำโดย ดร.ซุนยัดเซ็น ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บรรดาขุนศึกเฉือนดินแดนแข็งอำนาจ ไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลาง ภายหลังที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งในปี ค.ศ. 1921 ดร.ซุนยัดเซ็น ผู้นำพรรคกั๋วหมินตั่ง ได้ประกาศนโยบายใหญ่ 3 ประการคือร่วมมือกับสหภาพโซเวียต ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ อุ้มชูกรรมกรชาวนา ในปี 1924 พรรคกั๋วหมินตั่งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนร่วมมือกันทำสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ ร่วมกันตั้งโรงเรียนการเมืองการทหาร บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงาน โดยมี เจี่ยงเจี้ยสือ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีว่า เจียงไคเช็ค เป็นอธิการบดีและกรรมการฝ่ายการทหาร โจวเอินไหลเป็นกรรมการฝ่ายการเมือง เข้าสู่ยุคสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ ภายหลัง ซุนยัดเซ็น ถึงแก่กรรม เจียงไคเช็ค ผู้นำคนใหม่ของพรรคกั๋วหมินตั่งทรยศต่อการปฏิวัติในปี 1927 กวาดล้างชาวพรรคคอมมิวนิสต์จนเลือดนองแผ่นดิน เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองเป็นเวลา 10 ปีนับจากปี 1927 ถึงปี 1937 ญี่ปุ่นรุกรานประเทศจีน ความขัดแย้งทางประชาชาติกลายเป็นความขัดแย้งหลักแทนที่ความขัดแย้งทางชนชั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนร่วมมือกับพรรคกั๋วหมินตั่งอีกครั้งทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 ปีนับจากปี 1937 ถึงปี 1945 เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามยอมจำนน ความขัดแย้งทางประชาชาติหมดไป ความขัดแย้งทางชนชั้นเลื่อนขึ้นเป็นความขัดแย้งหลักของสังคม เกิดสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 ระหว่างพรรคกั๋วหมินตั่งที่นำโดยเจียงไคเช็คกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตงเป็นเวลา 4 ปีนับจากปี 1945 ถึงปี 1949 จีนใหม่หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้สถาปนาขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 ( พ.ศ.2492) นับเวลาจากการปฏิวัติซินไฮ่หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าได้รับชัยชนะในปี 1911 ถึงปี 1949 ที่การปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบใหม่หรือแผนใหม่ได้รับชัยชนะ ใช้เวลา 38 ปี ถ้านับจากปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งและเป็นผู้นำการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่จนได้รับชัยชนะ ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 28 ปีจากปี 1921 ถึงปี 1949 นั่นคือประวัติศาสตร์ของจีนช่วง 38 ปีโดยสังเขปนับจากปี ค.ศ. 1911 ที่มีการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าถึงปี ค.ศ.1949 ที่สถาปนาจีนใหม่

มาดูของไทยเรา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 มาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 78 ปีเต็ม ได้ผ่านช่วงประวัติศาสตร์อะไรมาบ้าง คงไม่ต้องจาระไนให้ละเอียด โดยสังเขปก็คือ ผ่านกบฏบวรเดชที่มุ่งหมายจะฟื้นอำนาจศักดินาในช่วงต้น ๆ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะถูกปราบลง แต่ก็มีความพยายามจะฟื้นอำนาจด้วยรูปแบบต่าง ๆ ตลอดเวลา ผ่านการยึดอำนาจรัฐประหารเฉลี่ย 3 ปีต่อครั้ง ใช้รัฐธรรมนูญสิ้นเปลืองถึง 18 ฉบับ มีนายกรัฐมนตรี 27 คน ผู้นำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่มีโอกาสกลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดอีกเลย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2485 หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่า 10 ปีคล้ายกับของจีน เคยจับมือกับขบวนการ เสรีไทย ซึ่งเป็นขบวนการใต้ดินร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น แต่ไม่เคยจับมือกับพรรคการเมืองที่กุมอำนาจรัฐทำกิจกรรมร่วมกัน พรรคการเมืองอันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยอ่อนปวกเปียก ล้มลุกคลุกคลาน ยกเว้นพรรคการเมืองหัวอนุรักษ์ที่อยู่ยงคงกะพัน นักการเมืองไม่ต้องพูดถึงหัวสังคมนิยม แค่หัวเสรีนิยม หัวประชาธิปไตย ก็ต้องจบชีวิตลงคนแล้วคนเล่า ต่างกับประเทศจีนเก่าหลังการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าที่อำนาจรัฐกุมอยู่ในมือของพรรคการเมืองที่เข้มแข็งเพียงพรรคเดียวคือพรรคกั๋วหมินตั่ง ลักษณะสังคมอย่างนี้ การเมืองการปกครองอย่างนี้ เงื่อนไขประวัติศาสตร์อย่างนี้มีส่วนไหนที่เหมือนกับประเทศจีนเก่า การขนเอาบทเรียนการปฏิวัติของประเทศจีนมาใช้ในประเทศไทยแบบคัดลอกตำรานั้นจะได้ผลหรือ ขอฝากไว้เป็นข้อคิด ผมไม่บังอาจชี้ว่าได้หรือไม่ได้ อีกอย่างบทเรียนของประเทศต่าง ๆ มีให้เราศึกษามากมาย ทำไม่สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย ทำไมกำแพงเบอร์ลินจึงพังทลาย ทำไมประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกจึงพากันเปลี่ยนสี ทำไม่ประเทศจีนที่เป็นสังคมนิยมต้องหันมาปฏิรูปเปิดประเทศ ปรับระบบโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำไม่ต้องเปิดตลาดการค้าเสรี ทำไมต้องมี 1 ประเทศ 2 ระบอบ ทำไมต้องสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำไมต้องใช้เศรษฐกิจกลไกตลาดแบบทุนนิยมมาเสริมเศรษฐกิจวางแผนแบบสังคมนิยม ทำไมต้องนำเข้าทุนจากต่างประเทศ ทำไม่ต้องมีตลาดหุ้นที่เขาบอกว่าเป็นของทุนนิยม ทำไมต้องรับเอาวิธีบริหารจัดการของทุนนิยมมาใช้ในวิสาหกิจสังคมนิยม ทำไมเวียตนามและลาวก็หันมาปฏิรูป ลดดีกรีความร้อนแรงที่มุ่งสร้างสังคมนิยมให้สำเร็จลุล่วงในเร็ววัน

คนที่จะนำการปฏิวัติ จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่กอดแต่ตำราเก่า ๆ ใช้วาทะกรรมเดิม ๆ


..............




โดย rungsira


 

ความรวย ทำให้เสื่อม

โดย
Image 
Hosted by ImageShack.us rungsira


อำมาตย์บ่งเสี้ยนตำใจทุบอนุสาวรีย์ปราบกบฎ


ขจัดเสี้ยนหนามตำใจ-อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือ อนุสาวรีย์ปราบกบฎ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่คณะราษฎร สามารถปราบกบฏบวรเดช ซึ่งนิยมเจ้าและต้องการให้ประเทศกลับไปเป็นราชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 (อ่านรายละเอียด) เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2479 ในสมัยพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479 สถานที่นี้เป็นจุดรวมพลคนเสื้อแดงเมื่อ12มีนาคมก่อนการชุมนุมใหญ่ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ในวันที่ 19 พฤษภาคม ล่าสุดกำลังมีการรื้อย้าย โดยอ้างว่าจะเอาไปทำสะพานลอยแก้รถติด


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

อนุสาวรีย์ปราบกบฎได้กลับมามีบทบาทหนล่าสุด เมื่อคนเสื้อแดงเริ่มการชุมนุมรอบล่าสุดนี้ นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานนปช.ได้เลือกเป็นสถานที่รวมพลเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 2553 ก่อนกิจกรรมการชุมนุมใหญ่ที่ยืดเยื้อมาจบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยนายวีระประกาศในตอนนั้นว่ามาสักการะดวงวิญญาณของคณะราษฎร์ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย(ดูภาพกิจกรรม)

การชุมนุมของเสื้อแดงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ขณะที่อนุสาวรีย์ปราบกบฎก็อาจจะถึงจุดจบตามไปด้วย หลังจากเป็นเสี้ยนหนามตำใจฝ่ายนิยมเจ้ามาอย่างยาวนาน

กรมทางหลวง เร่งเดินหน้าก่อสร้าง โครงการสะพานลอยบริเวณวงเวียนหลักสี่ ในเดือนกรกฎาคม 2553 ทั้งที่ต้องลงมือก่อสร้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากต้องปรับแบบใหม่ให้ขนาดเสาตอม่อ จากที่ใหญ่ล้ำผิวจราจรพื้นราบ ให้มีขนาดที่เล็กลงแต่มีความมั่นคงแข็งแรงเช่นเดิม ทั้งนี้ กองบังคับการตำรวจนครบาล (บช.น.) เห็นว่า หากไม่ปรับ จะส่งผลกระทบต่อการจราจร ทำให้ช่องทางเดินรถแคบลง ในขณะที่ปริมาณรถจากรอบทิศทางมีปริมาณสูงมาก โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน

ล่าสุด ได้มีกลุ่มนักอนุรักษ์โบราณคดี และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนชาวบ้านได้รวมตัวกันคัดค้าน การเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์ ดังกล่าว ออกไปจากบริเวณเดิม เพื่อก่อสร้างสะพานลอย โดยอ้างว่า มีความสำคัญทางด้านจิตใจและเป็นโบราณสถานทางประชาธิปไตย มีอายุเกือบ 100 ปี ขณะเดียวกัน หากไม่เคลื่อนย้ายและก่อสร้างสะพานข้ามอนุสาวรีย์ดังกล่าว ก็ไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี กรมทางหลวง ยืนยันว่า โครงการนี้ล่าช้ามานานและก่อนหน้านี้ได้มีการปิดผิวจราจรบางช่วงเพื่อรื้อย้ายสาธารณูปโภคโดยรอบ ส่งผลให้รถติดขัดหากต้องชะลอโครงการเพราะสาเหตุนี้ ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรเพราะอนุสาวรีย์ดังกล่าว ได้มีการรื้อย้ายมา 3 ครั้งแล้ว อาทิ ช่วงที่มีการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดถนนพหลโยธิน

และที่ผ่านมาได้หารือกรมศิลปากรเมื่อ 4 ปีก่อน ช่วงที่อยู่ระหว่างศึกษาและออกแบบโครงการว่าสามารถรื้อย้าย หรือ ดำเนินการในส่วนงานก่อสร้างสะพานได้หรือไม่ กรมศิลปากรก็อนุญาต ให้กรมทางหลวง เดินหน้าก่อสร้างได้ รวมถึงการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อจะลงมือก่อสร้างกลับมีผู้ออกมาคัดค้าน

ขณะเดียวกันอนุสาวรีย์แห่งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดเพียงเป็นสัญลักษณ์ทางการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยเท่านั้น เช่นเดียวกับ นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ระบุว่า อนุสาวรีย์ดังกล่าว เป็นเพียงสัญลักษณ์จำลองเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลอะไร ดังนั้นจึงมองว่า น่าจะก่อสร้างได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร


ล่าสุด นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง ออกมาระบุว่า ได้เตรียมลงมือก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ ได้รับอนุมัติแผนการจัดการจราจรจาก กองบังคับการตำรวจจราจร กองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้วสำหรับการก่อสร้างสะพานลอยที่อนุสาวรีย์หลักสี่ โดยลงมือ หลังจากรื้อย้ายงานสาธารณูปโภคเรียบร้อยทั้งหมด ขณะเดียวกัน ได้ดำเนินการก่อสร้างงานฐานรองรับอนุสาวรีย์ ในบริเวณวงเวียนและงานรื้อย้ายสาธารณูปโภคอื่นๆในแนวถนนรามอินทรา

โดยแนวสายทางสะพานลอยหลักสี่ เริ่มต้นจากถนนแจ้งวัฒนะบริเวณหน้าโรงเรียนมัธยมสาธิต วัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เข้าสู่พื้นที่วงเวียนหลักสี่เชื่อมเข้าสู่ถนนรามอินทรา โดยมีจุดสิ้นสุดสะพานบริเวณก่อนถึงทางเข้ามหาวิทยาลัยเกริก ลักษณะของสะพานเป็นสะพานคู่ฝั่งละ 2 ช่องจราจร โดยที่มุ่งหน้าฝั่งทิศตะวันออก (รามอินทรา) สะพานมีความยาวรวม 908.90 เมตร ผิวจราจรกว้าง 7.75 เมตร

ส่วนฝั่งที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก (ถนนแจ้งวัฒนะ) สะพานมีความยาวรวม 586.00 เมตร ผิวจราจรกว้าง 7.75 เมตร งานปรับปรุงถนนช่วงขึ้นและ ลงสะพานด้านละประมาณ 200.00 เมตร งานก่อสร้างเชิงลาดคอสะพาน (Bridge Approach Structure) ความยาวด้านละ 58.75 เมตร งานไฟฟ้าแสงสว่าง งานติดตั้งกำแพงกันเสียง (Noise Barrier) งานสะพานลอยคนเดินข้ามบริเวณหน้าโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครและหน้าที่ทำการไปรษณีย์รามอินทรา

การคัดค้านของกลุ่มอนุรักษ์ก็ยังคงเดินหน้าคัดค้านต่อไป ขณะที่กรมทางหลวงยืนยันเดินหน้าก่อสร้างแน่ นับจากนี้ อีก 600 วันน่าจะเปิดใช้เส้นทางได้ !!!


.......
คลิ้ก Thai E-news จากนั้นคลิ้ก'ต้นฉบับ'หรือ'original'มุมขวาบนสุดของหน้า จะเข้าไทยอีนิวส์ได้ตามปกติ หรือคลิ๊กที่ ลิงก์ (เร็วกว่าเดิม)

คลังบทความของบล็อก