คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
มีทฤษฎีสืบสวนของตำรวจที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า อาชญากรย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง และหากนำเอาทฤษฎีนี้ เข้ามาจับความเป็นไปในคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย คงต้องบอกว่า เป็นโคตรแห่งการทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ มีหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้รับบาดเจ็บนอนจมกองเลือดอยู่
เลยให้การถึงคนที่เกี่ยวข้องได้
ที่สำคัญผู้บาดเจ็บบอกว่า ได้รับโทรศัพท์เน้นย้ำตลอดไม่ให้ไปไหน จนรถเข็นเงาะระเบิดตูมสนั่นจนตนเองได้รับบาดเจ็บ
จากคนเจ็บที่เหมือนจงใจให้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ตำรวจสืบสาวต่อไปได้ จากนั้นออกติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา มีการติดต่อไปรับเงินโอนจากธนาคาร
เป็นอาชญากรที่ปรากฏร่องรอยมากมาย จนหนีไปไม่รอด! ซัดทอดต่อไปถึงผู้จ้างวาน 2 สามีภรรยา อ้อ-อ้าย
ปรากฏว่าตำรวจจับกุมไม่ทัน หลบหนีข้ามแดนเข้าไปกัมพูชาก่อนแล้ว แต่แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อ เมื่อทางการกัมพูชาจับกุม 2 ผู้จ้างวานระเบิดรายนี้ แล้วส่งตัวกลับมาให้ไทยเสร็จสรรพ เล่นเอางงกันไปทั้งเมือง
เพราะผู้นำกัมพูชากับผู้นำรัฐบาลไทยนั้น เกาเหลาชามใหญ่! อีกทั้งฝ่ายไทยยังไม่ได้ร้องขอให้ช่วยจับกุมเลย แต่เขมรใจดี จับกุมมาให้เรียบร้อย
ที่น่าคิดก็คือ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สืบสวนคดีนี้ก็บอกว่างุนงงไม่น้อย
พร้อมกับบอกด้วยว่า ผู้ต้องหาคร่ำครวญว่าถูกหักหลัง พร้อมกับเอ่ยชื่อดีเจ.อ้อมกับนายพายัพ ปั้นเกตุ เป็นคนชี้ให้ตำรวจกัมพูชาจับ
แม้จะมีข้อวิเคราะห์วิจารณ์กันยกใหญ่ ว่าเขมรทิ้งแม้วหันมารักมาร์คแล้ว!??
แต่การที่กัมพูชาจับอ้อ-อ้าย แต่ยังปล่อยให้แกนนำเสื้อแดงที่เข้าไปพักพิงลอยนวลอยู่ ทฤษฎีทิ้งแม้วรักมาร์คเป็นอันจบ
งานนี้น่าจะมาจากแกนนำเสื้อแดงในกัมพูชานั่นเอง ที่รู้ดีว่าระเบิดภูมิใจไทย เป็นฝีมือใคร
หรือจะมาจากจอมวางแผนที่อยู่เบื้องหลังสร้างสถานการณ์พ.ค.เลือด!!
พอ อ้อ-อ้าย หนีเข้ามา แถมพยายามติดต่อกับแกนนำเสื้อแดงที่หลบหนีอยู่อย่างผิดสังเกต
คงมีการร้องขอให้กัมพูชาหิ้วตัวส่งกลับไป
แดงเอาคืนน้ำเงิน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น