ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันเสาร์, ธันวาคม 20, 2551

ขบวนการปูด เส้นทางรัฐบาลโจร ของ โอบ้ามาร์ค .. "ป๊อก" ปฏิบัติการ "เก็บเนี้ยบ" ฮัลโหลเพื่อชาติ

ขบวนการปูด "ป๊อก" ปฏิบัติการ "เก็บเนี้ยบ" ฮัลโหลเพื่อชาติ "เชษฐา-อนุพงษ์" แตกหัก "ป้อม-สนั่น-สร้าง" ลุ้นชิง กห.

form : mr.fanta

ที่มา http://www.yanyong01.hi5.com/friend/group/displayTopic.do?gro upId=2523763&topicId=15457665&offset=0



การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากจะถือเป็นชัยชนะของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลแล้ว

ยังถือเป็นชัยชนะของ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่เป็นเสมือนหนึ่งผู้จัดการรัฐบาลเงา และทายาทอำนาจของ คมช. คณะปฏิวัติ ด้วยเช่นกัน

ต้องยอมรับว่า หากไม่มี พล.อ.อนุพงษ์ และทีมงาน ที่มีทั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ. ปฏิบัติการเปลี่ยนขั้วการเมือง ด้วยการทั้ง อุ้ม ล็อบบี้ ข่มขู่ แกนนำพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองที่เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน แล้ว ย่อมไม่มีวันนี้

ด้วยเพราะนายอภิสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ต่อพรรคพลังประชาชนเรื่อยมา ตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวช จนมาถึง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วยเพราะพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเนวิน ยังเหนียวแน่นและภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่มาครั้งนี้ "ปืน ทุน เจ้า" สิ่งที่ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี นำมาปูดว่า ขบวนการล้ม แล้วนั้นได้กลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้นักการเมืองตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว ในวงสนทนาตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

แม้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะท่องเพลงเป็นคาถาที่ว่า "ฉันเปล่านา เขามาเอง ฉันเปล่าชวนนา เขามาเอง" อ้างว่า บรรดาแกนนำพรรคการเมืองเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาขอคำปรึกษา และบางส่วนก็ได้มาพบ แต่ในความเป็นจริงนั้น มีทั้งการเรียก ขอร้อง ขอเชิญ ขู่ ล็อบบี้ ให้มาพบ

ความลับไม่มีในโลก โดยเฉพาะในวงการการเมืองไทย ยิ่งเมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ และทีมงาน ได้เอ่ยปากใดๆ ไว้กับบรรดานักการเมืองเหล่านั้นแล้ว มันก็ค่อยๆ ถูกปูดออกมา ยิ่งเมื่อเขาอ้าง "กระแสสังคม" ที่คาดหวังจากทหารในการทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการตีความผิดพลาด

แต่หากกล่าวกันแบบตรงไปตรงมา ลำพังแค่คำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ขอให้นักการเมืองทำเพื่อชาติบ้านเมืองสงบเรียบร้อย การเมืองและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ แค่นั้น มีหรือที่นักการเมืองจะยอมเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ยอมหักหลัง "นาย"

"ปืน" เป็นสาเหตุที่ทำให้นักการเมืองไหวหวั่น ไม่ใช่แค่เพราะกลัวทหารจะปฏิวัติตามคำขู่ แต่กลัวหลังการปฏิวัติมากกว่า ที่ผู้ยึดอำนาจจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรก็ได้ โดยมีบทเรียนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้ว

อีกทั้ง ปืน สำหรับนักการเมืองนั้น ย่อมหมายถึงความหวาดกลัวในสวัสดิภาพของตนเอง ยิ่งท่ามกลางมิคสัญญีเช่นนี้ด้วยแล้ว

ที่สำคัญ ไม่มีใครกลัวทหารแล้วในยุคนี้ หากมีแค่ปืนอย่างเดียว เพราะไม่มีใครคิดว่า ทหารจะกล้าปฏิวัติ โดยเฉพาะกลุ่มของ พล.อ.อนุพงษ์ เพราะถ้าจะทำ ก็คงทำไปแล้ว เมื่อค่ำคืนวันพระจันทร์ยิ้ม 1 ธันวาคม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีคำสั่งแล้ว หลังจากที่ได้เข้าพบบุคคลสำคัญ แต่ถูกบุคคลที่สำคัญกว่า สั่งห้าม เอาไว้

การปฏิวัติย่อมเสี่ยงต่อการถูกต่อต้านจากกลุ่มมวลชนต่างๆ โดยเฉพาะม็อบเสื้อแดง แต่ก็มีเสียงออกมาจากวงสนทนาของบิ๊กทหารกับนักการเมือง ที่บ้านใน ร.1 รอ. ออกมาว่า "รู้ไหมว่ากำลังสู้อยู่กับใคร ไม่มีทางชนะหรอก" พร้อมย้ำไม่กลัวในพลังเสื้อแดงผลุบๆ โผล่ๆ

ด้วยเพราะนักการเมืองบ้านเรา ต้องใช้ Money talk เพราะถ้าไม่มีปัจจัยเรื่องทุน หรือการซื้อตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ยากที่จะดึงนักการเมืองให้เปลี่ยนขั้วได้ ยิ่งฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ทุ่มซื้อด้วยตัวเลข 8 หลัก หรือบ้างก็ว่าถึง 50 ล้านด้วยแล้ว นักการเมืองก็ยิ่งมีราคาค่าตัวสูงขึ้น

จึงมีข่าวสะพัดว่า งานนี้ มีการควักงบฯ ลับของบรรดาบิ๊กๆ แกนนำในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เคยช่วยกันหาไว้เป็นกองกลาง ตั้งแต่ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เรื่อยมา และโครงการจัดซื้อจัดหาต่างๆ ที่ไม่ได้เอาเข้ากระเป๋าใคร ราว 2 พันล้านบาท มาใช้ในการเนรมิตให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หากแต่ประเด็นนี้ ฝ่ายนักการเมืองยังไม่ยอมกล้าที่จะออกมาปูดหรือยอมรับ

แต่ประการสำคัญที่สุด ที่ทำให้นักการเมืองต้องเปลี่ยนขั้ว ก็เมื่อมีการอ้าง "สถาบัน" ยิ่งเมื่อภาพพจน์ของ พล.อ.อนุพงษ์ และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ คือนายทหารเสือราชินี ที่มีความจงรักภักดีด้วยแล้ว เหล่านักการเมืองก็ยิ่งหวาดหวั่น

ประเด็นนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แถมถูกบรรดา ส.ส. พรรคต่างๆ ที่เข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ พากันนำออกมาปูด เพื่ออ้างเป็นเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนขั้ว กลบเกลื่อนเรื่องทุน

จนทำให้แกนนำอดีตพรรคพลังประชาชน และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทั้ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ กรรมาธิการทหาร นายชวลิต วิชยสุทธิ์ นายพีระพันธ์ พาลุสุข และ นายไพจิต ศรีวรขาน ชักแถวออกมาแฉเรื่องการอ้างสถาบัน พร้อมตำหนิพฤติกรรมของผู้นำทหาร และท้าให้ออกมาปฏิเสธ เรื่องการใช้คำว่า "สู้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะ เพราะสถาบันอยู่ตรงนี้"

แม้แต่ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา คนสำคัญในการเปลี่ยนขั้วมาหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ก็ยังระบุว่า การที่ นายเสนาะ เทียนทอง ไม่ได้มาร่วมรัฐบาลด้วย "เพราะยังไม่รู้ความจริงบางอย่าง อย่างพวกผม ที่เราต้องทำหน้าที่ปกป้องชาติและสถาบัน"

ด้วยเพราะ พล.ต.สนั่น ก็เป็นแกนนำคนหนึ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ ต่อสายถึงเพื่อขอให้เห็นแก่บ้านเมือง ในการเปลี่ยนขั้วด้วยนั่นเอง



ปฏิบัติการเนรมิตฝันของพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นจริงของ พล.อ.อนุพงษ์ หาใช่มีแค่การเปิดบ้านพัก ใน ร.1 รอ. ต้อนรับนายเนวินและแกนนำพรรคต่างๆ ในช่วงหลายวันหลัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกสอยร่วงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อ 2 ธันวาคม หรือการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ติดต่อล็อบบี้ พาแกนนำมานั่งคุยที่บ้านอีกแรงหนึ่งแล้วเท่านั้น

แต่ประการสำคัญที่สุด ที่ทำให้นักการเมืองต้องเปลี่ยนขั้ว ก็เมื่อมีการอ้าง "สถาบัน" ยิ่งเมื่อภาพพจน์ของ พล.อ.อนุพงษ์ และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ คือนายทหารเสือราชินี ที่มีความจงรักภักดีด้วยแล้ว เหล่านักการเมืองก็ยิ่งหวาดหวั่น

ประเด็นนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แถมถูกบรรดา ส.ส. พรรคต่างๆ ที่เข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ พากันนำออกมาปูด เพื่ออ้างเป็นเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนขั้ว กลบเกลื่อนเรื่องทุน

จนทำให้แกนนำอดีตพรรคพลังประชาชน และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทั้ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ กรรมาธิการทหาร นายชวลิต วิชยสุทธิ์ นายพีระพันธ์ พาลุสุข และ นายไพจิต ศรีวรขาน ชักแถวออกมาแฉเรื่องการอ้างสถาบัน พร้อมตำหนิพฤติกรรมของผู้นำทหาร และท้าให้ออกมาปฏิเสธ เรื่องการใช้คำว่า "สู้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะ เพราะสถาบันอยู่ตรงนี้"

แม้แต่ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา คนสำคัญในการเปลี่ยนขั้วมาหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ก็ยังระบุว่า การที่ นายเสนาะ เทียนทอง ไม่ได้มาร่วมรัฐบาลด้วย "เพราะยังไม่รู้ความจริงบางอย่าง อย่างพวกผม ที่เราต้องทำหน้าที่ปกป้องชาติและสถาบัน"

ด้วยเพราะ พล.ต.สนั่น ก็เป็นแกนนำคนหนึ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ ต่อสายถึงเพื่อขอให้เห็นแก่บ้านเมือง ในการเปลี่ยนขั้วด้วยนั่นเอง



ปฏิบัติการเนรมิตฝันของพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นจริงของ พล.อ.อนุพงษ์ หาใช่มีแค่การเปิดบ้านพัก ใน ร.1 รอ. ต้อนรับนายเนวินและแกนนำพรรคต่างๆ ในช่วงหลายวันหลัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกสอยร่วงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อ 2 ธันวาคม หรือการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ติดต่อล็อบบี้ พาแกนนำมานั่งคุยที่บ้านอีกแรงหนึ่งแล้วเท่านั้น

แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงใช้โทรศัพท์ในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะในช่วงวันที่ 9-11 ธันวาคม ที่เขาเดินทางไปประชุม ผบ.ทบ.อาเซียน นั้น มีการมอบหมายให้ บิ๊กจ๊อก พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ รอง ผบ.ทบ. เดินทางไปประชุมแทน ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งอยู่ที่ฟิลิปปินส์ด้วยนั้น ก็สาละวนอยู่กับการโทรศัพท์ติดตามสถานการณ์และเช็กยอด ล็อบบี้นักการเมืองหลายคน จนไปร่วมประชุมในตอนท้ายและแข่งขันยิงปืนกับ ผบ.ทบ. มิตรประเทศเท่านั้น รวมถึงการจัดการเรื่องการสั่งกำลังทหารไปดูแล ส.ส. หลายคนที่กลัวถูกอุ้ม เพราะหันมาโหวตให้นายอภิสิทธิ์ จนมีข่าวการเก็บตัว ส.ส. เหล่านี้ในเซฟเฮาส์

โดยสายหนึ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ โทร.ข้ามประเทศกลับมา ก็ต่อไปยัง บิ๊กเหวียง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และอดีต ผบ.ทบ. "นายเก่า" เพื่อขอร้องไม่ให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านนายเสนาะ และย้ำให้ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้ความหวังเรื่องเก้าอี้ในรัฐบาลและคำหวานล่อใจ พล.อ.เชษฐา ในช่วงแรกๆ ได้ จนทำให้ พล.อ.เชษฐา ต้องแสร้งไม่สบาย ไม่ต่างจาก พล.ต.อ.ประชา ที่ต้องไปนอนโรงพยาบาล เพื่ออ้างเหตุไม่ไปบ้านนายเสนาะ

ในระหว่างนั้น มีการต่อสายระหว่าง พล.อ.เชษฐา กับ พล.อ.อนุพงษ์ แบบ พี่เหวียงกับน้องป๊อก หลายครั้ง

แต่ต่อมาไม่กี่วัน พล.อ.เชษฐา กับ พล.อ.อนุพงษ์ ก็แตกหักกัน เมื่อ พล.อ.เชษฐา รู้ความจริงบางอย่างจากปากของ "คุณแดง" สาวใหญ่แห่งบริษัทออร์แกนไนซ์เซอร์ ผู้ทำโครงการคุณธรรมนำไทยให้ คมช. จนมาถึง ทบ. เรื่องที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความสำคัญ "นายเก่า" คนนี้ หลังจากที่เธออ้างความสนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ ว่า หนุน พล.อ.เชษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ก็ รมว.กลาโหม

อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.เชษฐา แตกแถวมติพรรคโหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นนายกรัฐมนตรี จนต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งจากหัวหน้าพรรค และ ส.ส. ล้างมือการเมือง

ความจริง พล.อ.เชษฐา นั้นซึ้งใจ พล.อ.อนุพงษ์ มาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยสายสัมพันธ์เชิงบุญคุณและพี่น้อง ที่เมื่อครั้งเป็นใหญ่ เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.เชษฐา ก็หนุนให้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ดีมาตลอด แต่พอถึงเวลาจริงๆ ไม่เคยสนับสนุน พล.อ.เชษฐา ให้ได้ตำแหน่งใน ครม. สักที

ตรงกันข้ามกลับดิสเครดิต เช่นเมื่อครั้งที่ พล.อ.เชษฐา นำแกนนำโจรใต้ออกโทรทัศน์ช่อง 5 ประกาศหยุดยิง พล.อ.อนุพงษ์ ก็ออกมาแฉว่า ไม่ใช่ตัวจริง พอมีการชิงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่เคยหนุน แต่กลับให้นายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม เองบ้าง หนุน พล.อ.ประวิตร บ้าง

ยิ่งมาครั้งนี้ ชื่อของ พล.อ.เชษฐา เคยเป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคร่วม แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็กลับปฏิเสธการสนับสนุน และไม่ต้องการให้ พล.อ.เชษฐา อ้างชื่อหรือสายสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเกรงใจ

วีรกรรมของ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้หมดแค่นี้ แต่ก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อ 15 ธันวาคม นั้น ยังมีความพยายามในการต่อสายล็อบบี้ และตอกย้ำยืนยันกับบรรดานักการเมืองที่เคยได้ให้คำมั่นสัญญากับเขาไว้แล้ว ไม่ให้เปลี่ยนใจ เพื่อเช็กยอด ทำตัวเลข โดยมีการประสานกับนายสุเทพตลอดเวลา ในการตรวจสอบข้อมูลว่าใครจะแตกแถวหรือผิดสัญญา

จนถึงรุ่งเช้าของวันโหวต พล.อ.อนุพงษ์ ก็ยังปฏิบัติการ "เก็บเนี้ยบ" จนนาทีสุดท้าย โดยมีรายงานว่า มีการล็อบบี้นักการเมืองหลายคนที่ส่อเค้าจะแตกแถว โดยเฉพาะ หมอแว น.พ.แวมาฮาดี แวดาโอ๊ะ ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อแผ่นดิน ให้หนุนนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ที่สุด หมอแว ก็โหวตให้ พล.ต.อ.ประชา

ตามแผนบันได 4 ขั้นของ คมช. กำลังจะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งๆ ที่เคยพยายามทำมาแล้ว ก่อนและหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2551 เรื่อยมา ในการบล็อกไม่ให้พรรคกลางและเล็ก ไปหนุนพรรคพลังประชาชนตั้งรัฐบาล การยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คงเหลือแค่การส่งบรรดานายทหารสาย คมช. เข้ามาร่วมรัฐบาล และการตั้งพรรคการเมืองของ คมช. เพื่อที่จะคุมการเมืองในระยะยาวเท่านั้น

แม้นายอภิสิทธิ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 สมหวังดั่งใจ พล.อ.อนุพงษ์ ที่นั่งเกาะขอบจอลุ้นการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วยใจระทึก แต่ปัญหาก็รออยู่เบื้องหน้า พล.อ.อนุพงษ์ คือการเคลียร์คดีหนีทหารให้นายอภิสิทธิ์ เพราะการที่ไม่มาผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร ตอนที่นายอภิสิทธิ์เรียนอยู่ต่างประเทศ แต่กลับมาแล้วสมัครเข้าเป็นนายทหารเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร. นั้น เสมือนเป็นการเป็นทหารแล้วก็ตาม แต่ทว่า ขั้นตอนความผิดจากการหนีทหาร จึงขาดเอกสารและขาดคุณสมบัติที่จะสมัครเป็นนายทหารได้ แต่ก็มีการซิกแซ็กให้จนได้เป็นทหาร

ที่สำคัญคือ การเลือก รมว.กลาโหม ที่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นเต็งหนึ่ง แต่เจ้าตัวอิดออดเขินอายที่จะรับตำแหน่ง เพราะไปนั่งจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารมาด้วย แถมวันสำคัญก็ใช้บ้านของตัวเอง จึงเล่นบทบ่ายเบี่ยงไม่อยากรับตำแหน่ง แค่ บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้กลับไปเป็น ผบ.ตร. ตามเดิม ก็ปลื้มแล้ว

จึงมีการเสนอให้ พล.ต.สนั่น เป็นรองนายกรัฐมนตรีและควบ รมว.กลาโหม ในฐานะที่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ชื่นชมในน้ำใจที่ปฏิเสธเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จูงใจ และความเป็นนายทหารม้าที่เปิดเผยตรงไปตรงมา และที่ผ่านมามีการพูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอด แต่ พล.ต.สนั่น ก็ห่างกองทัพมานานมาก และถูกจับตามองว่าหากมาเป็น รมว.กลาโหม กองทัพจะเสนอขอพระราชทานยศ พลเอก ให้

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ยังพยายามหาเพื่อนเตรียมทหาร 6 และอดีต คมช. มาเป็น รมว.กลาโหม ทั้ง บิ๊กตุ่น พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกลาโหม และอดีตเลขาฯ คมช. ที่ปฏิเสธเก้าอี้

แต่ที่บรรดา ผบ.เหล่าทัพมีการเห็นพ้องกันก็คือ นายพลเวสต์ปอยเตอร์ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผบ.สส. ซึ่งเป็น ตท.6 ที่ไม่มีพิษไม่มีภัย ที่สำคัญ เป็นตัวเลือกที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ส่งเข้าประกวดชิงเก้าอี้ รมว.กลาโหม

อย่าลืมว่า ปฏิบัติการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนี้ ก็เป็นผลมาจากการที่ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร บิดาของนายเนวิน เข้าพบ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านก่อนหน้านี้ จึงไม่แปลกที่ พล.อ.เปรม จะนั่งเกาะขอบจอทีวีดูการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างใจจดจ่อ

ที่แน่นอนว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อีกไม่ช้า นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องสานต่อประเพณีการเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อขอรับพรและแนวทางในการทำงานจาก พล.อ.เปรม


เก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อนุพงษ์ ในเวลานี้จึงแน่นปึ้ก แถมกลายเป็น ผบ.ทบ. ที่ทรงอำนาจ เปี่ยมพลังแฝงทางการเมือง เพราะแน่นอนว่า นายอภิสิทธิ์ ที่นอกจากเป็นน้องแล้วยังเป็นหนี้บุญคุณที่ต้องเกรงใจ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย จนถูกจับตามองกันว่า รัฐบาลใหม่นี้ กองทัพขออะไรก็จะให้หมด ยิ่งโครงการซื้อรถเกราะยูเครน ยังตกค้าง หรือการซื้อ ฮ. MI-17 ของรัสเซีย หรือแม้แต่การซื้อเครื่องบิบกริฟเพ่นจากสวีเดน ของ ทอ. ที่มีปัญหาถูกรัฐบาลก่อนแตะขานั้น ก็มีหวังผ่านฉลุย ต่อให้นายอภิสิทธิ์เสนอให้เก้าอี้ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่ยอมใจอ่อนลาออกไปนั่งแน่

แม้จะมีผู้นำทหารบางคนสะกิดให้ พล.อ.อนุพงษ์ ถอยหลังหรือถอนตัวออกมาจากการเมืองหลังการตั้งรัฐบาลเสร็จแล้ว และมีการกำหนดจุดยืนของกองทัพ ในการประชุม ผบ.เหล่าทัพ หลังการมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วก็ตาม

แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ก้าวมาไกลเกินการถอยหลัง หรือถอนตัวแล้ว เพราะได้ถูกหมายหัวว่า เลือกข้าง และเป็นพวกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ก็ต้องประคับประคองดูแลกันต่อไป และต้องยึดเกาะพรรคร่วมให้แน่นไปจน พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณราชการ กันยายน 2553 แล้วดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ต่อเสียก่อน



หากหยั่งใจ พล.อ.อนุพงษ์ แล้ว ย่อมมีทั้งเหตุผลเพื่อชาติและเพื่อส่วนตัวระคนกันอยู่ หลายคนเห็นใจเขาที่ต้องทำตาม "ใบสั่ง" และแรงกดดันรอบด้าน ประการสำคัญคือ พล.อ.อนุพงษ์ จะไม่อยู่นิ่งเฉยเพื่อรอวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ปลดเขาจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. และสกัดไม่ให้ทายาทอำนาจอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ได้อีกต่อไปนั่นเอง

แต่ปัญหาที่รอ พล.อ.อนุพงษ์ อยู่คือ การที่เขาจะถูกดึงไปอยู่ในการเมือง ถูกโจมตีเรื่องการร่วมจัดตั้งรัฐบาล บทบาทของกองทัพ ที่จะทำให้มีการตรวจสอบมากขึ้น และอาจทำให้ ผบ.ทบ. อารมณ์เสียง่ายขึ้น บ่อยขึ้น และมากขึ้น จนกองทัพไม่เป็นอันทำงานในหน้าที่แน่นอน

แม้ว่า เก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่นั่งอยู่จะยิ่งใหญ่ และมั่นคงเปี่ยมอำนาจเพียงไร ในรัฐบาลประชาธิปัตย์นี้ แต่ความสุขสงบ ทั้งในจิตใจ ในกองทัพ และชาติบ้านเมือง ก็คงจะหากันไม่ได้ไปอีกนาน นี่คือสิ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ เลือกแล้ว...

แหล่งอ้างอิง http://info.matichon.co.th/weekly/member/wk_txt.php?srctag=MTQxOTEyNTE=

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก