ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 13, 2552

เรื่องเล่า เปิดกรุ...มหากาพย์ตำนานคดีเพชรซาอุ

โดย คุณ พิศดารเก้า -ขอสดุดี แด่เสรีชน- (จากกลุ่มสัพเพเหระ hi5)

คดีที่โลกตะลึง

ซึ่งผมรอคอยอย่างใจจดจ่อ..ถึงวันสิ้นสุดของคดีนี้

คดีที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุ

ต้องมอดไหม้ดับวูบไปเพียงเพราะความโลภ

ของคนไทยเราเพียงไม่กี่คน!

***************************

ย้อนรอย "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ"


หาก จะกล่าวถึง คดีดังที่มักจะถูกนำขึ้นมา “ ตีปี๊บ” กันทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คงต้องยกให้ “คดีประวัติศาสตร์” ที่นำไปสู่ปมบาดหมางที่ยากประสานระหว่างประเทศไทย กับซาอุดิอาระเบีย อย่าง “คดีเพชรซาอุฯ” เพชรอาถรรพณ์ แห่งราชวงศ์ไฟซาล ที่จนป่านนี้เวลาผ่านไปกว่า 19 ปี ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
ผมเลยไปลองค้นเรื่องราวมาให้อ่านกัน...คับ


เวลา กว่า 19 ปีแล้วที่ "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ยังไม่ตายไปจากโลกนี้ง่ายๆ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หนึ่งใน "ตัวละครเอก" ของตำนานเพชรซาอุฯ ก็ยังสลัดอิทธิฤทธิ์ของเพชรแห่งราชวงศ์ไฟซาลไม่พ้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา "ประหารชีวิต" ในคดี "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์" หลังจากศาลชั้นต้นเคยพิพากษา "จำคุกตลอดชีวิต" ไปเมื่อหลายปีก่อน

คำพิพากษาประหารชีวิตเล่นเอา อดีตมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายา "สิงเหนือ" ถึงกับคอตกอีกคำรบ และต้องกลับบางขวางเพื่อลุ้นผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาอีกครั้ง !!!

ชะตา กรรมของ พล.ต.ท.ชลอ เป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่า อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เพราะใครก็ตามที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้อง "มีอันเป็นไป" เกือบทุกราย

เริ่มจาก นายเกรียงไกร เตชะโม่ง หนุ่มเมืองรถม้า จ.ลำปาง ซึ่งเดินทางไปทำมาหากินเพื่อหวังขุดทองในผืนทะเลทรายแห่งตะวันออกกลาง แต่ลึกๆ เขาก็ไม่ได้คิดจะไปร่ำรวยจากค่าแรงเหมือนคนงานคนอื่นเท่าใดนัก แต่คาดหวังจากการเสี่ยงดวง "เล่นไฮโล" เสียมากกว่า เพราะนิ้วมือของเขานั้น "ฝังแม่เหล็ก" ไว้ทั้งสองข้าง และเมื่อผ่านเครื่องเอกซเรย์โลหะก็จะมีสัญญาณเตือนดังขึ้นทุกครั้ง

ทว่า โชคชะตากลับชักพาไปไกลกว่านั้น เมื่อเขาถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และนั่นคือปฐมบทแห่ง "มหากาพย์เพชรซาอุฯ"...

วันนั้น...ใน พระราชวังอันโอ่อ่า แต่น่าแปลกที่ข้าราชบริพารต่างเร้นกายหายหน้าไปเกือบหมด นายเกรียงไกรจึงฉวยโอกาสอันล้ำค่าสำรวจดูทรัพย์สินภายใน และต้องตกตะลึงกับเครื่องเพชรนิลจินดา ซึ่งประเมินได้คร่าวๆ ว่าคงขายได้หลายตังค์อยู่ แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่าจะมีค่ามหาศาลเพียงใด จึงวางแผนฉกเพชรมาได้ถึง 2 ครั้ง และผ่านด่านศุลกากรของทั้งสองประเทศมาได้อย่างง่ายดาย

ไม่นานทาง การซาอุฯ ก็รู้ว่า เครื่องเพชรอันประเมินค่ามิได้ถูกหนุ่มคนงานไทยโจรกรรมออกมา จึงประสานมายังรัฐบาลไทยให้ติดตามเพชรประจำราชวงศ์ส่งคืนโดยเร่งด่วน

พล. ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อธิบดีกรมตำรวจ (ในขณะนั้น) จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ผู้เคยรับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่ทางการซา อุฯ

จากนั้น "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ เมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุม และนำมารีดจนยอมคายเพชรออกมา แถมยังบอกด้วยว่ามีใครรับซื้อไปบ้าง เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียว คือ "แขวนคอ"

การจับกุมนายเกรียงไกร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง โดยมือปราบอย่าง พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการยกย่องจากทางการซาอุฯ ให้เป็นแขกพิเศษ แถมยังถูกยกให้เป็น "ชี้ค" อีกด้วย


ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา



ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา

หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (ในสมัยนั้น) ได้เดินทางไปเยือนซาอุฯ อย่างเป็นทางการ แต่กลับต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเมื่อถูกฝ่ายซาอุฯ ตอกกลับเอาเจ็บๆ ว่า

"คุณเอาเพชรปลอมมาคืน แถมชุดที่เหลือยังหายไปอีกมาก แบบนี้แล้วเราจะสานความสัมพันธ์กันได้อย่างไร"

ประโยค อมตะดังกล่าวเล่นเอา "วงแตก" จนฝ่ายไทยต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาหาเพชรกันอย่างพลิกแผ่นดิน โดยสั่งให้เริ่ม "ย้อนรอย" ตั้งแต่ชุดทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ เพื่อติดตามว่าเพชรไปอยู่ในมือใคร โดยมุ่งเน้นไปที่เส้นทางการซื้อขายเพชรเพื่อตรวจสอบดูว่า เพชรน่าจะอยู่ในมือใครบ้าง

การย้อนรอยครั้งนี้เองที่ทำให้ พล.ต.ท.ชลอ เริ่มเจออิทธิฤทธิ์ระลอกแรกของเพชรซาอุฯ!

กลุ่มบุคคลที่ "ถูกจับตา" เป็นรายต่อมา คือญาติๆ ของ พล.ต.อ.แสวง แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบก็ไม่พบว่ามีมูลความจริงแต่อย่างใด



ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา

นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และ "คนมีสี" หลายคนก็ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่ง กระทั่งพลอยถูกหางเลขไปด้วย

ระหว่างนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ก็ลงมือว่าจ้าง "ชุดสืบสวนพิเศษ" เพื่อแกะรอยอย่างลับๆ ว่า เพชรซาอุฯ อยู่ในมือใครบ้าง

เพิ่มเติมBangkok Pundit
http://bangkokpundit.blogspot.com/2009/08/saudi-thai-relations.html


Blue diamond


สำหรับเพชรชุดที่ทาง การซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ "บลูไดมอนด์" ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่าได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม

สาเหตุ ที่เพชรล้ำค่าชุดนี้ทางเชื้อพระวงศ์ของซาอุฯ ต้องการได้คืนมากที่สุด เนื่องจากเป็น "เพชรอาถรรพณ์" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุฯ ก็จะจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วย "แสงอินฟราเรด" อยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ!?

ระหว่าง ที่ตามหาเพชรบลูไดมอนด์กันอยู่นั้น ก็เกิดเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุฯ ต้องเลวร้ายลงอีกครั้ง เมื่อเกิดคดี "ฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ" และยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้จนบัดนี้ !?!?

สองคดีบันลือโลกนี้ เองที่ทำให้ฝ่ายไทยกระอักกระอ่วนใจมาตลอด เพราะเมื่อใดก็ตามที่นายโคจามีโอกาสได้พบกับตัวแทนระดับสูงฝ่ายไทยก็มักจะ ทวงถามอยู่เนืองๆ ว่า

"ช่วยตามเพชรบลูไดมอนด์กับคนร้ายที่ฆ่าคนของซาอุฯ ให้หน่อย"

ท่าม กลางความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุฯ ก็เริ่มเกิดแสงสว่างรำไรขึ้น เมื่อนายเกรียงไกรกล่าวพาดพิงถึงพ่อค้าเพชรย่านสะพานเหล็ก ชื่อ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ โดยซัดทอดว่า นายสันติได้ซื้อเพชรไปจากนายเกรียงไกรเป็นจำนวนมาก รวมหลายครั้งด้วยกัน



ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา



นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีสะเทือนขวัญ "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์"

กระทั่ง ล่วงมาสู่ยุคที่มีอธิบดีกรมตำรวจชื่อ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ จึงเริ่มมีการติดตามเพชรซาอุฯ อีกครั้ง โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ สวิคามิน รับไปดำเนินการ

การรื้อคดีครั้งนี้จึงนำมา สู่การ "อุ้ม" ภรรยา และลูกของนายสันติ คือ นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เพื่อนำตัวไปรีดข้อมูล โดยนำตัวไปกักไว้ที่รีสอร์ทใน จ.สระแก้ว นานนับเดือน และหวังว่านายสันติ จะนำเพชรบลูไดมอนด์มาคืน เพราะเชื่อว่านายสันติครอบครองอยู่

แต่นานวันเข้า นายสันติก็ไม่สามารถนำมาคืนได้ เนื่องจากได้นำไปให้คนอื่นแล้ว หลังจากนำไปแปลงสภาพให้พ่อค้าเพชรย่านเจริญนคร ก่อนจะนำไปให้ "บุคคลสำคัญ" คนหนึ่ง

การคุมขังสองแม่ลูกนานเกินไป ประกอบกับสองแม่ลูกจำหน้าทีมอุ้มได้ ทีมอุ้มเริ่มกลัว "ความลับรั่วไหล" จึงได้วางแผน "ฆาตกรรมอำพราง" โดยลงมือกระหน่ำตีจนเสียชีวิต ก่อนจะยัดร่างใส่รถเบนซ์ที่จอดอยู่กลางถนนเพื่อ "จัดฉาก" ให้รถบรรทุกพุ่งชนบริเวณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี



ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา


ผลการชันสูตรเบื้อง ต้น โดย พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวช (ในขณะนั้น) พิสูจน์ออกมาว่า "เป็นอุบัติเหตุ" แต่ น.พ.พล หิรัญศิริ พี่ชายของนางดาราวดี ออกมาคัดค้าน

ภายหลังจึงเกิด "ความแตก" เมื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รอง อ.ตร.และ พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผบก.ป. (ในขณะนั้น) เข้าคลี่คลายคดีจึงรู้ว่าสาเหตุการตายเกิดจากการ "ฆาตกรรม"

อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ รอบนี้เล่นเอา พล.ต.ต.ทัศนะ ต้อง "ลาออกจากตำแหน่ง" ในเวลาต่อมา!

จาก นั้น พล.ต.ท.ชลอ พร้อม "ทีมอุ้ม" ตำรวจ-พลเรือนรวม 9 ราย รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ จึงถูกสั่งจำคุก โชคดีที่หลักฐานต่างๆ สาวไปไม่ถึง พล.ต.ท.โสภณ จึงรอดพ้นคุกตะรางไปได้ แต่ พล.ต.ท.ชลอ ยังถูกจองจำจนถึงทุกวันนี้ ส่วนทีมอุ้มหลายคนก็เสียชีวิตไปในระหว่างดำเนินคดี!


ชีวิตในคุกของ "ชลอ เกิดเทศ"

วิธี การคลายเครียดอีกอย่างของป๋าลอ คือเรื่องกีฬา โดยเฉพาะ "ฟุตบอล" ซึ่งป๋าลอเคยเป็นนายกสมาคมอยู่ จึงเป็นคนแรกที่บุกเบิกการจัดแข่งขัน "ฟุตบอลคุก" จนมีสปอนเซอร์แห่เข้ามาสนับสนุน

ว่ากันว่า การจัดแข่งบอลคุกถือเป็นการ "สานต่อความฝัน" เมื่อครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ป๋าลอเคยเปรยๆ เอาไว้ว่า

"ถ้าไม่ถูกจับเสียก่อนจะเอาเงิน 100 ล้านจากซาอุฯ มาทำทีมฟุตบอลไทย"

ถึง วันนี้ผ่านการพิจารณาคดีมาถึง 2 ศาลแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า ท้ายที่สุดชะตากรรมของ พล.ต.ท.ชลอ จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ชีวิตในวันนี้ของเขาย่อมไม่มีความสุขเหมือนในครั้งอดีตอย่างแน่นอน และคดีนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" นั้นทรงอิทธิฤทธิ์สมคำร่ำลือเพียงใด


ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้คืนมา


เกร็ด

นาย เกรียงไกรไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าวก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็ยังมีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ ไม่มีการล๊อค

ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์
น่า สงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท


ตอนที่ตำรวจติดตามเอาสิ่งของที่ถูกโจรกรรมกลับคืนจาก แหล่งรับซื้อ มีร้านรับซื้อบางรายรู้ว่าสิ่งของที่ตนรับชื้อไว้เป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอาไปคืนเจ้าหน้าที่ เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขาย หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้เข้าไป ก็อาจจะเป็นได้ ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร


นายเกรียงไกรรู้ทันที ว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆ โตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท

นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง ขณะนั้ได้หมดโทษแล้ว


ปลาย ปี 2531 มี จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารี อยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุน 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืดก่อนที่จะสิ้นเสียงเครื่องยนต์ด้วยช้ำ



เมื่อ ต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพ และยังมีนักธุรกิจของประเทศซาอุฯถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน ในขณะที่คดีเรื่องฆ่าการสืบสวนหาตัวคนร้ายยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น


นายสันติเป็นพ่อค้าเพชรซึ่งรับ ซื้อเพชรที่ถูกโจรกรรมมาจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ผลพวงจากการับซื้อของโจร ทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกรีดไถ ที่น่าเศร้าก็คือ ในท้ายที่สุด เมียและลูกของเขาก็ถูกอุ้มไปฆ่าและเผาอำพรางคดี
แต่ เรื่องแดงขึ้นมาเมื่อกรมตำรวจส่งพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นนำกำลังตำรวจกองปราบลงมาสะสางความจริงหลัง ได้รับการร้องเรียนจากญาติของนายสันติ ในที่สุด จึงพบว่า มีนายตำรวจ”ระดับบิ๊ก”เข้าไปพัวพันกับขบวนการอุ้มโหดนี้ด้วย คดีเพชรซาอุฯทำให้สังคมตระหนักถึงความเป็นองค์กรซ่อนเงื่อนของตำรวจ ในเวลาเดียวกัน


นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ จำเลยคดีรับของโจร (เพชรซาอุฯ) ไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา จนศาลต้องออกหมายจับแล้วนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบความคืบหน้า หรือการติดต่อประสานงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาอีกครั้ง หากยังไม่ได้ตัวนายสันติมา ศาลอาญาก็จะอ่านคำพิพากษาของศาล ฎีกาลับหลังทันที



ปัจจุบัน มีข่าวลือและข่าวที่ไม่มีใครกล้ายืนยัน ต่างๆนานา


บ้างก็ว่า
ป๋าลอ นะเป็นแค่หมากในเกมนี้แค่นั้นเอง


บ้างก็ว่า
เพชรได้ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วนำไปเจียรไนใหม่ไปแล้ว


บ้างก็ว่า
เพชรได้ถูกขายไปแล้ว ในประเทศเพื่อนบ้าน


บ้างก็ว่า
ยังเป็นเพชรเม็ดใหญ่ อยู่ที่ไหนซักที่หนึ่งในประเทศไทย


บ้างก็ว่า
เพ ชรบูลไดมอนด์ถูกนำไปประมูลขายในตลาดมืดที่ New York ราชวงค์ซาอุ ไปเจอเข้าและประมูลกลับมาแล้ว และยังรู้อีกว่าใครเป็นผู้ปล่อยประมูลไป


ไม่ว่าเพชรจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ผู้ที่มีไว้ครอบครองหรือสวมใส่...ก็ไม่ได้มี่ความวิเศษเหนือมนุษย์แต่อย่างใด
ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หายตัวได้ หรือ เป็นอมตะ
ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน

กลับกัน...กลับมีความทุกข์ในใจมากขึ้นไปอีกด้วย

และอีกในทางกลับกัน....เพชรบลูไดมอนด์นี้..จะยิ่งเพิ่มความอาถรรพ์ในตัวเองมากขึ้นไปอีก..เมื่อผ่านความโลภและกาลเวลาอย่างไม่จบสิ้น

***********************

ขอขอบคุณข้อมูลจาก...บล็อคของคุณ "นอกลู่นอกทาง" ด้วยครับ

...บทความของ.....พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท

*************************

โจรกรรมเพชรซาอุ




สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียอยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุฯจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุฯก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเช่นกัน นับว่าประเทศซาอุฯทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง

1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุฯ

2. เรื่องนักธุรกิจซาอุฯถูก“อุ้ม”หายตัว

3. เรื่องโจรกรรมเพชร

แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ยังไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยสมบูรณ์และโปร่งใส ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทยถูกเรียกตัวมาทำงาน แต่ละคดีก็จบลงหรือสรุปแบบมีเงื่อนงำ ไม่โปร่งใส ยังมีประเด็นข้อกังขาทิ้งไว้ให้คนที่สนใจขบคิดอีกมาก

ประเทศซาอุฯเข้มงวดเรื่องการส่งแรงงานไทยไปซาอุฯ และห้ามคนซาอุฯเดินทางเข้าไทย ทำให้ขาดรายได้เข้าประเทศ รัฐบาลไทยรวมแล้วถึง 5 ชุด 5 สมัยพยายามแก้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุฯหลายครั้งหลายครา คดีบางเรื่องก็ยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดี๋ยวนี้

สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯได้ ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยแพงมากๆ หัวละเป็นแสนๆบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเป็นผู้เรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯก็พยายามปราบปรามเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่ากลับประเทศ และส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการสืบสวนอย่างลับๆ จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง

1. ปมขัดแย้งครั้งแรก เมื่อประมาณปลายปี 2531 ในขณะ ที่แรงงานไทยส่งไปซาอุฯยังฟูเฟื่อง เมืองไทยเป็นสวรรค์ของคนซาอุฯ ในกรุงเทพฯแถวซอยนานาเหมือนกับเมืองๆหนึ่งในประเทศซาอุฯ เดินไปไหนก็มักจะพบแต่คนแต่งกายชุดขาว ชุดดำคลุมศีรษะแบบอาหรับมิดเดิลอีส รวมทั้งร้านค้าร้านอาหารบริการชาวตะวันออกกลาง เวลาเดียวกันที่พัทยาใต้แถวมาลินพลาซ่าก็คราคร่ำไปด้วยนักท่อเที่ยวจากซาอุฯ เกือบจะเรียกได้เลยว่าบริเวณทั้งสองแห่งนี้กลายเป็นเมืองตะวันออกกลางไปแล้ว

ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดน ทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายบริการ สาวนั่งชั่วโมง จากทุกสารทิศเฮโรไปขุดทองที่พัทยา

กลุ่มซาอุฯอยู่แถวพัทยาใต้ ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ที่ชั้นล่าง โรงแรมนี้ซาอุฯเหมาไปเลย

ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าด้านฝั่งทะเล ย่าน Babyอะโกโก้ เป็นถิ่นของ นายโรต้า แก๊งเยอรมัน

แถวพัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์ยึดครอง พวกไต้หวันยึดหัวหาดอยู่พัทยานาเกลือ

สถานบริการที่พัทยาเปิดดึกเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว

ในปลายปี 2531นั้นเอง มี จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย


แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 7.35 มม.หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุนเป็นชุด 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง


โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืด ทิ้งไว้แต่เสียงเครื่องยนต์ มองไม่เห็นตัวรถ

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย กำลังนั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์ดื่มเบียร์อยู่กับเพื่อนๆประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ไม่มียานพาหนะ เพราะมาเที่ยวพักผ่อนมิได้มาปฏิบัติหน้าที่


พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เห็นคนร้ายหลังเสียงปืนดัง ได้ยินแต่เสียงเร่งเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ไม่สามารถจำอะไรได้เลย ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ทุกคนยอมรับฝีมือการยิงของมือปืน แม่นยำและมีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด

2. เหตุการณ์ต่อมา เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอและ เลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย

ครั้งแรก จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพ ในวันเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุ ๒ จุด เวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนพกขนาด 7.65 มม.หรือขนาด .32

ครั้งที่ ๒ นักธุรกิจของประเทศซาอุฯถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน ในขณะที่คดีเรื่องฆ่า จนท.ทูตซาอุฯและคดีนักธุระกิจหายตัว การสืบสวนยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น

3. ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆเดือนธันวาคม มีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า รัฐบาลประเทศซาอุฯประสานมายังรัฐบาลไทย ว่า มีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุฯโจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯเข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯมากยิ่งขึ้น

ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯยืนยันว่า คนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทยที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯแน่นอน และได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ

หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าวเรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้ายคือนายเกรียงไกร เตชะโม่ง บ้านอยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย กำกับดูแลกรมตำรวจ พล. ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็น อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก.ควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้

การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นการเจรจา จะส่งตัวผู้กระทำผิดซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติจะส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้

ระหว่างเจรจาหาข้อยุติว่า จะส่งตัวหรือไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ขณะนั้นผู้กระทำผิดยังไม่ถูกจับกุม นสพ.ลงข่าวเพิ่มความกดดันให้กับนายเกรียงไกร เตชะโม่งเป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกจับตัวส่งไปให้ซาอุฯ ถูกแขวนคอตายสถานเดียว นายเกรียงไกรเห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯมาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดายังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาลผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตแน่นอน จึงทำให้นายเกรียงไกรต้องหนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไน้ท์ติดตัวตลอดเวลา ถ้าถูกจับตัวได้ก็จะรีบกินยาไซยาไน้ท์ฆ่าตัวตายทันที

รัฐบาลไทยตัดสินใจเลือกไม่ส่งตัวนายเกรียงไกรไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎหมายของประเทศซาอุฯรุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 บัญญัติไว้ว่า “ความ ผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้”

หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”

เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ซาอุฯส่งตัวแทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุฯก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ถ้อยคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้กองปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวน

ย้อนกลับมาดูเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าคนไทยตัวเล็กๆ ไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไรในรั้วในวัง ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร ผ่านการตรวจตราของทั้งสองประเทศ เวลาออกเมือง และเข้าเมือง ได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ศุลกากรตายังกับสับปะรดหลุดรอดไปได้อย่างไร

ติดตามรับฟังจากผมแล้วจะหายกังขา ถ้าไปอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อย่างเดียวจะงง เพราะเรื่องนี้ไม่มีการแถลงข่าว ถึงแถลงข่าวก็จะไม่พูดถึงรายละเอียด ข้ามตรงโน้นนิด ปิดตรงนี้หน่อย แต่งเติมไปบ้าง เพื่อให้ดูดีไม่เสียหาย ไม่เสียฟอร์ม

แต่ที่จะนำมาเปิดเผยนี้เป็นส่วนที่เข้าไปสัมผัสจริง เพราะผู้เขียนอยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคสอง (ภาคแรก กองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวนและจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) เพชรซาอุฯภาคสองนำโดย “เชอร์ล๊อคนู”(พล.ต.ท.ธนู หอมหวล ขณะนั้นตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง)



คดีเพชรซาอุฯภาค ๑ มีการจับกุมนายเกรียงไกรฯผู้กระทำผิดได้ ติดตามเพชรกลับคืน เมื่อนำเพชรส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่า เพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯเข้าประเทศไทย ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. “เชอร์ล๊อคนู” เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบสวน พล.ต.ต.อังกูรฯ ผู้เขียนขณะนั้นยศ พ.ต.ท.ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนเพชรซาอุฯภาคสองนี้ด้วย

เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนูฯได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวนมี 2 เรื่อง 1.กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ 2.กรณีโจรกรรมเพชรซาอุฯ

ซึ่ง ผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรก(คดี จนท.ทูตซาอุฯถูกฆ่า) ผลออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะพูดถึงในโอกาสต่อไป

ส่วน กรณีโจรกรรมเพชรซาอุ ภาคสอง เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกร ที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาล)ได้อีกหลายคน และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกด้วย

เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุฯภาคสองนี้ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้นตามจุดต่างๆในครั้งแรกนั้น เมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใด ก็จะทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ แต่พอนำเข้า กทม.แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เหตุเพราะมีการจัดทำบันทึกใหม่ คือเอกสารหลายฉบับมันดูเลอะเทอะ เลยจัดทำใหม่รวมเป็นใบเดียว ทำให้มีสิ่งของบางรายการขาดหายไป ส่วนที่ขาดนี่แหละ ถือว่าเป็นสิ่งของที่ถูกอม ทำให้คดีในภาคสองมีการจับกุมแต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ ดูแล้วจิ๊บจ๊อยมาก ส่วนบลูไดมอนด์เพชรเม็ดใหญ่ที่ทางซาอุฯต้องการ ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด สืบหาไม่ได้เหมือนเดิม

ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการตรวจค้นตามจุดต่างๆในต่างจังหวัดแล้ว พอกลับ กทม.มารวมทำบันทึกใหม่ เพื่อใส่ชื่อผู้บังคับบัญชาลงไปด้วย อยากให้เจ้านายได้หน้า ทำให้รายละเอียดบางอย่างขาดหายไป ในขณะนั้นไม่มีใครคิดว่าจะถูกรื้อฟื้นคดี พอมีการรื้อฟื้นขึ้นมา ติดคุกกันเป็นแถว ตำรวจรุ่นใหม่ๆจำเอาไว้เชียว

ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุฯภาคสอง ผู้เขียนทำหน้าที่รับ-ส่งตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกรฯ ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรฯรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น. ผู้เขียนจะไปรับตัวนายเกรียงไกรฯที่เรือนจำอยุธยา แล้วพาตัวไปสอบสวนที่ บชก. ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์คุมตัวมาด้วย ผู้เขียนมีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกรฯ นั่งติดกันในรถช่วงที่เดินทางประมาณ 4-5 วันๆละกว่า 3 ชั่วโมง รายละเอียดต่างๆในความทรงจำของนายเกรียงไกรฯถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ นำมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้ทราบเหตุการณ์บางตอนได้ชัดเจน ไม่มีผลทางคดีเพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว

ลักษณะ ของนายเกรียงไกรฯเป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันทีเมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คือคิดคำนึงก่อนพูด เชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่นิ้วกลางมือซ้ายฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้วเพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล บ่งบอกว่าเขาเป็นอาชญากรตัวยง

นายเกรียงไกรฯ เดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯ เช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour( แรงงานไร้ฝีมือ) ทำงานอยู่ในบริษัทรับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุฯ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน

ช่วง เกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรฯทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในมีอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ มเหสี มีห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาล และมเหสี แปรพระราชฐานไปพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีเพียงแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึกและตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัท เช้าไปส่ง เย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงานและเซ็นกลับเพื่อเป็นการเช็คสอบว่า ใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้าคนงานที่ถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์

สิ่งที่ควรทราบคือ ประเทศซาอุฯเป็นประเทศมุสลิม จะไม่เลี้ยงสุนัข และเป็นประเทศที่กฎหมายแรงมาก คดีลักทรัพย์จะไม่ค่อยมี เพราะกฎหมายลงโทษหนักและทารุณ เช่น คดีลักทรัพย์ ผู้กระทำผิดจะต้องถูกตัดมือ การลงโทษที่รุนแรงทำให้คดีลักทรัพย์ไม่ค่อยเกิด แต่ในสายตานายเกรียงไกรฯกลับมองเห็นว่า มันเป็นเรื่องล่อใจเสียเหลือเกิน

นายเกรียงไกรฯเป็นคนฉลาดแกมโกง ไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าวก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็ยังมีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ ไม่มีการล๊อค

การลงชื่อทำงานและลงชื่อกลับในเวลาเดียวกัน(เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกรียงไกรโจรกรรมทรัพย์สินในวังได้สำเร็จ)

ตอนเช้าคนงานผู้ใดจะไปทำงานต้องลงชื่อในบัญชีการทำงานที่ผู้ควบคุม ผู้ควบคุมเป็นชาวฟิลลิปปินส์จะเดินทางไปส่งคนงานที่วังและรับคนงานกลับทุกครั้ง นายเกรียงไกรฯมองเห็นช่องทาง คือมีคนงานฟิลิปปินส์บางคน“อู้งาน” ขอกลับก่อนที่รถของบริษัทยังไม่มารับกลับ โดยรู้กับคนควบคุมเซ็นชื่อมาทำงานพร้อมเซ็นกลับไว้พร้อมกัน ทำงานไปได้สักพักก็โดดงานหนี แต่หลักฐานแสดงว่ามีการทำงานตามปกติ เวลาเดียวกันนายเกรียงไกรฯก็พบว่า แม่บ้านที่มาเปิดบ้านให้ทำความสะอาดบางวันก็ไม่ได้มาปิด บางวันมาเช็คห้อง บางวันก็ไม่มาเลย เพราะเจ้านายไม่อยู่ และคงคิดว่าคงไม่มีใครกล้าลองดี

นายเกรียงไกรฯดูลาดเลา 2 วัน วันที่ 3 นำกระสอบปุ๋ยติดตัวไปด้วย

เที่ยง ของวันที่สองที่นายเกรียงไกรฯเข้าไปทำความสะอาดที่วังแห่งนี้ ก็เริ่มวางแผนทันที โดยในวันที่สามนายเกรียงไกรฯเริ่มนำกระสอบแบบกระสอบปุ๋ย ทบห่อให้เล็กติดตัวไปโดยไม่ให้ใครรู้ แล้วก็เซ็นชื่อไปทำงานพร้อมเซ็นชื่อกลับไว้ในสมุดหัวหน้างาน พร้อมกับบอกหัวหน้าว่าจะขอเดินทางมาทำงานเองและกลับเอง ดังนั้นทุกวันนายเกรียงไกรฯก็จะมาทำงาน โดยโผล่เข้ามาทางไหนไม่มีใครรู้ เพราะตึกมีหลายหลัง หลายทางเข้าออก ทุกเช้าก็จะมาเซ็นชื่อทำงานพร้อมกับเซ็นชื่อกลับไว้ด้วยในเวลาเดียวกัน

แต่ในความเป็นจริงแล้วนายเกรียงไกรฯมิได้เดินทางออกจากวังไปไหนเลย พอหมดเวลาทำงานแต่ละวันก็จะซุกตัวอยู่ในห้องในบริเวณตึกที่เห็นว่ามิดชิดไม่มีการตรวจสอบ พอคนงานกลับหมด แม่บ้านไปแล้ว นายเกรียงไกรก็ออกจากที่ซ่อนเที่ยวค้นหาของมีค่า โดยใช้เวลาเก็บของมีค่าทั้งสิ้น 7 คืน (7 ครั้ง) และแล้วของมีค่าทั้งหมดถูกรวบรวมใส่ถุงปุ๋ย เหวี่ยงออกนอกกำแพงในเวลากลางคืน แล้วนายเกรียงไกรฯปีนกำแพงวังออกมา (ไม่มีสุนัขเฝ้าก็อย่างนี้ละครับ) แล้วนำของมีค่ากลับที่พัก

ประเด็นเรื่องของมีค่านั้นจริงหรือเก๊ เกิดได้หลายทาง

1. นายเกรียงไกรเก็บของมีค่าตามตู้โชว์ ตามลิ้นชัก ตามตู้เซฟที่กุญแจตู้เซฟคาไว้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าที่มาของสิ่งของในตู้โชว์ อาจจะเป็นของสวยๆงามๆ มีของไม่แท้บ้างก็ได้

2. ตอนที่ตำรวจติดตามเอาสิ่งของที่ถูกโจรกรรมกลับคืนจากแหล่งรับซื้อ มีร้านรับซื้อบางรายรู้ว่าสิ่งของที่ตนรับชื้อไว้เป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอาไปคืนเจ้าหน้าที่ เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขาย หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้เข้าไป ก็อาจจะเป็นได้ ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร

นายเกรียงไกรเคยทำงานอยู่ซาอุมาเป็นเวลา 7 ปี รู้ลู่ทาง ทางหนีทีไล่ จุดอ่อน จุดแข็ง ของการปฏิบัติงานของ จนท.ในประเทศซาอุฯ ถนนหนทางต่างๆสามารถเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวคล่องแคล่ว และคุ้นเคยกับการส่งของกลับเมืองไทยโดยการบรรจุหีบห่อ เคยส่งของกลับเมืองไทยมาก่อนแล้วหลายครั้ง

เกรียงไกรฯบรรจุอัญมณีลงกล่องกระดาษ 4 กล่อง สิ่งของมีค่าที่หยิบฉวยมาจากวังกษัตริย์ไฟซาลถูกลำเลียงใส่กล่องกระดาษแข็ง ผสมเสื้อผ้าของใช้ปะปนไป โดยของใช้ที่ไม่ค่อยมีค่าอยู่ด้านบน หีบห่อก็ไม่ได้ทำให้สวยงาม การเขียนจ่าหน้าก็เขียนด้วยลายมือเหมือนคนไม่มีการศึกษา จำนวน 4 กล่อง การกระทำดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้อง ประเมินสถานการณ์ผิด สิ่งของบรรจุหีบห่อ 4 หีบ น้ำหนักรวม 90 กก. ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเพชรอัญมณีหนักถึง 90 กก. แต่เป็นน้ำหนักรวม เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ประมาณการว่าน่าจะเป็นอัญมณีครึ่งๆ น่าจะใกล้เคียงความจริง นายเกรียงไกรฯเป็นคนฉลาดรู้ว่ากษัตริย์ไฟซาล จะเสด็จกลับวังภายใน 15 วัน ฉะนั้นก่อนครบกำหนดที่เจ้าชายไฟซาลจะเสด็จกลับวัง นายเกรียงไกรฯก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยส่งสิ่งของทางพัสดุภัณฑ์ทางอากาศไปก่อน นายเกรียงไกรเดินทางกลับประเทศไทยก่อนครบสัญญาทำงานที่ซาอุฯถึง 2 เดือน

ติดต่อรับของพัสดุภัณฑ์ทางอากาศ

เมื่อนายเกรียงไกรฯเดินทางถึง กทม.แล้ว ก็ไปติดต่อรับสิ่งของพัสดุภัณฑ์จากศุลกากร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่นายเกรียงไกรฯเคยทำในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของไทย ก็เคยตรวจของนายเกรียงไกรฯมาก่อนแล้ว ซึ่งส่วนมากคนไปทำงานตะวันออกกลางมักจะนำสิ่งของที่ตนใช้อยู่ที่ต่างประเทศกลับติดตัวมา ไม่ค่อยมีราคาค่างวด มีการเสียเงินใต้โต๊ะกันบ้างเล็กๆน้อยๆ กล่องหรือหีบห่อละ 7 พันบาท ส่วนคราวนี้นายเกรียงไกรบอกว่ารู้สึกเสียวๆเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรสุ่มเปิด 1 กล่องโดยเอามือหยิบสิ่งของที่อยู่ตอนบนๆขึ้นมา ซึ่งเป็นเสื้อผ้า ถ้าหากล้วงลึกลงไปอีกฝ่ามือเดียวก็จะถึงอัญมณีทันที

นายเกรียงไกรฯจ่ายค่าผ่านด่านศุลกากร คิดราคาแบบเหมาจ่าย สิ่งของต่างๆรวม 4กล่องกระดาษจ่ายเพียง 7 พันบาท

กษัตริย์ไฟซาลเสด็จกลับจากพักร้อนมาที่วัง ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะข้าวของมีค่ามีจำนวนมาก และการหยิบฉวยของนายเกรียงไกร เลือกหยิบบางชิ้นไม่ให้ผิดปกติ

นาฬิกาที่ใช้ดูทิศเวลาละหมาด

กรรมย่อมเห็นผลทันตา กษัตริย์ไฟซาลเมื่อเสด็จกลับมาถึงวังก็จะทำพิธีละหมาด การละหมาดของกษัตริย์เคร่งครัดมากคือการเลือกทิศ ซึ่งจะต้องหันหน้าไปทาง “ไบตุ้ลเลาะห์” หรือ ตรงตำแหน่งที่ประดิษฐ์สถานหินศักดิ์สิทธิ์ (กะบ้า) การบอกทิศที่ถูกต้องจำเป็นต้องใช้นาฬิกาเรือนหนึ่งซึ่งมิตรกษัตริย์อีกเมือง หนึ่งประทานมา โดยนาฬิกาเรือนดังกล่าวมีเข็มชี้บอกทิศทางที่นั่งทำพิธีละหมาด กษัตริย์ไฟซาลหานาฬิกาเรือนดังกล่าวไม่พบ จึงเกิดเอะใจหายไปไหน ตรวจดูทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่า พบว่าเพชรอัญมณีหายไปจำนวนมาก

ตำรวจซาอุฯเรียกบริษัททำความสะอาดสอบ การ ตรวจสอบ การสอบสวนเกิดขึ้น พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกสอบสวนเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบสวน

คนงานไทยที่ทำงานอยู่ซาอุฯรู้เรื่องคาดการณ์ถูก

มีคนงานไทยคนหนึ่งที่ทำงานและพักด้วยกันกับนายเกรียงไกรฯถูกสอบสวน คนงานไทยผู้นี้รู้ทันทีว่านายเกรียงไกรฯต้องเป็นคนร้ายแน่ ตำรวจซาอุฯสอบสวนคนงานทั้งหมดรวมทั้งตรวจค้นละเอียด ไม่ได้หลักฐานจึงปล่อยตัว ทันทีที่ทางการซาอุฯปล่อยตัวออกมาคนงานไทยผู้นี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย แล้วตรงไปหานายเกรียงไกรฯทันที

คนงานไทย Black mail

การ Black mail เกิดขึ้น คนงานไทยดังกล่าวถึงตัวนายเกรียงไกรฯก่อนทางการไทยจะได้ข่าว คนงานดังกล่าวขู่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับตัวนายเกรียงไกรฯส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ของมีค่าที่นายเกรียงไกรฯโจรกรรมมาจึงถูกแบ่งให้นัก Black mail ผู้นี้ไปบางส่วน

นาย เกรียงไกรฯรู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆ โตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกสายตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท

ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์

น่าสงสารนายเกรียงไกรฯมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท

หลบหนี ขอตายไม่ยอมถูกจับ

ของ มีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุฯ ต้องถูกแขวนคอแน่ นายเกรียงไกรฯร่ำลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไน้ทติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัวเห็นว่าจะถูกจับกุม จะกินไซยาไน้ทฆ่าตัวตายทันที

เพชรส่วนหนึ่งฝังดิน

ถึง แม้จะจวนตัว นายเกรียงไกรฯก็ยังเป็นห่วงทรัพย์สิน โดยรวบรวมของมีค่าใส่ถุงพลาสติก แล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ เหตุที่ฝังดินเนื่องจากได้แนวคิดจากหนังสือนิทานอีสป

จะเป็นฝ่ายติดต่อกลับ

ญาติ พี่น้องเป็นห่วงแต่นายกรียงไกรฯบอกว่า ไม่ต้องห่วง สามารถเอาตัวรอดได้ และบอกด้วยว่าหากจำเป็นหรือเดือดร้อน จะเป็นผู้ติดต่อมาหาญาติเอง ญาติๆไม่ต้องติดต่อไปหาเขา

เดินป่าตอนแรกๆ มีลูกหาบ

นาย เกรียงไกรฯมุ่งหน้าเดินป่าไปทาง อ.แม่สอด มุ่งเข้าสู่แดนพม่า ขั้นแรกมีคนตามไปดูแลด้วย เป็นคาราวาน พอนานๆเข้าคนที่ติดตามทนลำบากไม่ไหวหนีกลับหมด

ทีม ล่านำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง และลูกน้องซึ่งเป็นตำรวจกองปราบอีกหลายคน แบ่งกำลังติดตามเป็น 5 สาย ญาติพี่น้องนายเกรียงไกรฯ ถูกเรียกมาสอบสวนทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับนายเกรียงไกรฯ ถูกคายออกมา ไม่มีใครรู้ว่านายเกรียงไกรฯหลบหนีไปที่ใด แต่ที่รู้แน่ๆคือนายเกรียงไกรฯไม่ยอมให้จับเป็น ไม่ได้หมายว่าจะต่อสู้ แต่จะชิงกินยาฆ่าตัวตายก่อนถูกจับ

แบ่งกำลัง 5 สาย

กำลังทั้ง 5 สายถูกสั่งให้ออกล่าสกัดกั้นการหลบหนี ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 เดือนก็สามารถจับกุมผู้ร่วมมือ ผู้ที่ช่วยจำหน่ายทรัพย์ ช่วยพาหลบหนีได้ 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมลักทรัพย์หรือรับของโจร

กำลัง ส่วนหนึ่งติดตามหาทรัพย์สินที่นายเกรียงไกรฯขาย จากนายเกรียงไกรฯไปยังพ่อค้าทองที่ลำปาง จากลำปางไปยังพ่อค้าทองที่ จ.พิษณุโลก จากพิษณุโลกสู่ร้านค้าเพชร “สันติมณี” ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ของนายสันติ – นางดาราวดี ศรีธนขันธ์

ทีมล่าหาตัวติดตามหานายเกรียงไกรฯอย่างไม่ลดละ ต้องปีนเขาข้ามป่าข้ามทุ่ง แต่ไม่พบร่องรอย จึงต้องกลับมาวิเคราะห์แผนใหม่ ว่านายเกรียงไกรฯไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างแน่นอน เพราะนายเกรียงไกรฯชอบความสะดวกสบาย และจากการสืบเสาะข้อมูลทราบว่า นายเกรียงไกรฯชอบผู้หญิงมาก ดังนั้นการที่จะหลบอยู่ในป่าคงอยู่นานไม่ได้

ชุดที่ 1 เฝ้าการเคลื่อนไหวของญาติ

กำลังส่วนหนึ่งถูกวางซุ่มดูความเคลื่อนไหวของญาติ ในช่วงเกิดเหตุนั้นระบบการสื่อสารไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่มี การติดต่อสื่อสารจะใช้จดหมายกับโทรเลข เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ถูกประสานให้ร่วมมือทันที เวลาล่วงเลยเป็นเดือน ไม่มีจดหมายติดต่อไปยังพ่อแม่หรือพี่น้องของนายเกรียงไกรเลย มีแต่จดหมายถึงกำนัน ประมาณ 2 ครั้ง

ล็อคกำนัน จม.ถึงกำนัน ล็อคทันที

ชุดสืบสวนใช้ไหวพริบ เรียกกำนันไปสอบสวนขอดูจดหมาย ปรากฏว่าเป็นจดหมายของนายเกรียงไกรฯเขียนถึงพ่อแม่ ส่งผ่านกำนัน ให้ธนาณัติส่งเงินไปให้ ระบุชื่อผู้รับเป็นผู้หญิง อยู่ที่แม่สอด จ.ตาก

ผู้หญิงที่นายเกรียงไกรฯบอกให้ส่งเงินไปให้ต้องมีความเชื่อมโยงกับนายเกรียงไกรฯแน่ การติดตามหาตัวหญิงผู้ที่จะรับธนาณัติเริ่มต้นขึ้น ทีมงานสืบสวนเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเป็นหญิงขายบริการ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบตามซ่องโสเภณีที่แม่สอดทุกแห่ง พบหญิงดังกล่าวและถูกดึงตัวมาสอบอย่างลับๆ ทำให้รู้ที่พักของนายเกรียงไกรฯว่าอยู่ที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งในแม่สอด

การวางแผนจับกุมนายเกรียงไกรฯต้องรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่กลัวจะต่อสู้หรือหลบหนี แต่ต้องคิดให้รอบคอบว่าทำอย่างไรจึงจะจับตัวได้เป็นๆ ป้องกันไม่ให้ดื่มยาฆ่าตัวตาย วางแผนเสร็จเรียบร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบนำโดย พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทรกับพวก ให้หญิงแฟนนายเกรียงไกรฯนำหน้าเคาะประตูห้องพักโรงแรม ตำรวจต้องหลบตัวต่ำและอยู่ห่างๆเพราะประตูห้องพักมีกล้องตาแมวมองจากด้านในออกมาได้ เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูสักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงถอดกลอนประตูดังแกร๊ก ชุดปฏิบัติงานรู้หน้าที่เริ่มปฏิบัติการทันที คนหนึ่งที่ร่างใหญ่กระแทกประตู ปรากฏว่าติดโซ่ แต่ตำรวจเตรียมการณ์ไว้ก่อนแล้ว คือเพิ่มแรงกระแทกเต็มที่ หมุดที่ยึดโซ่ขาด ประตูเปิดออก พ.ต.ท.เจษฎากรฯพุ่งหลาวบกเข้าใส่ร่างคนซึ่งมีอยู่คนเดียว จะเป็นใครไม่ได้นอกจากนายเกรียงไกรฯมือข้างหนึ่งของ พ.ต.ท.เจษฎากรฯปิดปากนายเกรียงไกรฯ อีกมือหนึ่งคว้าจับแขนเกรียงไกรฯไว้ และเป็นจริงตามคาด ยาชนิดหนึ่งไม่ได้พิสูจน์ทราบเป็นยาอะไร อยู่ในมือขวาของนายเกรียงไกรฯ แต่ถูก พ.ต.ท.เจษฎากรฯจับไว้ได้ ตำรวจอื่นๆมาช่วย จับกุมนายเกรียงไกรฯได้สำเร็จ นายเกรียงไกรฯถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน นายเกรียงไกรฯรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุดและปัจจุบันพ้นโทษแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก