ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันจันทร์, เมษายน 27, 2552

รัฐโจร ปชป.เผด็จการทหาร+อำมาตย์ ไม่พอใจการ์ตูน ‘เซีย ไทยรัฐ’ ประชาธิปัตย์เตรียมร้องสภาการหนังสือพิมพ์

.

การต่อสู้ของ เสื้อแดง ถือว่าเก่งมาก ยืนระยะมายาวนา; แม้จะถูกรุมแบบ หมาหมู่


มันยิ่งกว่า 6 รุม 1 มันมากกว่านั้น แต่ก็ยังสู้ และยังมีพลัง อีกมาก

เสื้อแดง เปรียบเหมือนยักษ์หลับ ต้องปลุกให้ตื่น เพื่อมาตอบโต้ ทวงความยุติธรรมทางการเมืองกลับคืนสู่พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ

พลังเสื้อแดง อยู่ในเขตสงบ รอบนอก ไม่ค่อยมีโอกาสมีปากเสียง ได้แต่เก็บความรู้สึกเก็บแค้น จากการกระทำแบบสองมาตรฐานนั้นไว้

สื่อ ก็ไม่ได้ช่วย มิหนำซ้ำ บางค่าย ยังไร้ความเป็นธรรม ใช้ศัพนามแทนกลุ่มเสื้อแดง แบบดูถูก เหยียดหยาม

ทหาร ไร้ความปราณี เอียง เลือกกระทำ

กระบวนการยุติธรรม นั้นหรือ มันครางแคงใจตั้งแต่ ดับเบิ้ลยุบพรรค ปล่อย พธม ยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ลอยนวล และคุ้มครองเอเอสทีวี แต่ยุบ ดีทีวี

กรรมการสิทธิมนุษยธรรม ก็ประมาณ กรณี 7 ตุลาคม ของการปราบ พธม แต่ ชื่นชมการปราบเสื้อแดงด้วย M16 ของเมษายน ทมิฬ

40 สว นักวิชาการมหาลัย เงียบเป่าสาก หากเสื้อแดงถูกกระทำ ตรงข้ามจาก พธม แตะไม่ได้แม้แต่นิด โวยวายลั่น

กลุ่ม อำมาตย์ อันนี้ ไม่ขอกล่าว ละในฐานที่เข้าใจ

โดนขนาดนี้ ยัง ทรงพลังได้ ถือว่า สุดยอด

สู้ๆ จนกว่าความเป็นธรรมทางการเมืองจะเกิดขึ้นแก่สังคมไทย



จากคุณ : otamajakushi บอร์ดพันทิป
........................................................

. สละอำนาจเสียเถิด นายอภิสิทธิ์ !!!

หลังการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคนวิจารณ์กันพอสมควรว่า ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

คนที่วิจารณ์เช่นนั้น ไม่เข้าใจคำว่ารัฐสภาดีพอ จึงพูดไปเช่นนั้น เขาลืมไปว่า แท้จริงแล้ว รัฐสภาคือที่สำหรับคนจะได้พูดกัน


ดังนั้น เมื่อมีคนพูดกันแล้ว ไม่ว่าจะพูดตรงกันหรือพูดขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะมีข้อสรุปหรือไร้ข้อสรุป มันก็ย่อมเกิดประโยชน์ทั้งสิ้น

ประโยชน์คือ การได้พูดกันแล้ว

ประโยชน์คือ เราได้รู้ว่าใครคิดอะไร อย่างไร


ในที่นี้พวกเราได้เห็นแล้วว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีลักษณะผู้นำ เขาเป็นเพียงนักแสดงปาฐกถา ที่สามารถสรุปเรื่องราวที่คนอื่นพูดไว้ และเขาสามารถนั่งฟังคนอื่นพูดได้ แต่ไม่สามารถนำเสนอความคิดของเขาว่า จะนำสังคมไปทางใด โดยวิธีการอย่างไร



click to comment

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พูดและนำเสนอเรื่องทหารกลุ่มหนึ่ง รุมทำร้ายชายคนหนึ่งอย่างทารุณ ผิดวิสัยชายชาติทหาร และผิดวิสัยคนชาติเดียวกันทำแก่คนชาติของตน นายอภิสิทธิ์ก็ได้แต่นั่งดูด้วยความตกตะลึง และแสดงออกมาภายหลังว่า ไม่เคยรู้ว่า มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น และจะได้ตั้งกรรมการสอบสวนต่อไป


ท่าทีดังกล่าวนี้ เป็นท่าทีแอ๊บแบ๊ว และไม่อาจแก้ปัญหาประเทศในยามวิกฤตได้

ขณะเดียวกัน เมื่อ ส.ส.คนหนึ่ง พูดถึงการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข ภายในบ้านพักของแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อคืนวันที่เกิดเหตุวิกฤต โดยที่ทางทหารพยายามชี้แจงว่า พลทหารผู้นั้น ประสบอุบัติเหตุลื่นหกล้มในห้องน้ำ และมีความพยายามกดดันแม่ผู้ตาย ให้รีบเผาศพลูกชายเสียโดยเร็ว ทำให้เกิดปริศนาชวนสงสัย


กระแสข่าวจากฝ่ายค้านบอกว่า พลทหารอภินพได้เพจข้อความไปหาแฟนสาว และบุคคลอื่นอีก บางคนว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เข้าพักในบ้านพักหลังนั้นในวันเกิดเหตุ


เรื่องนี้ก็ทำให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งนั่งฟังอยู่ในรัฐสภา ทำหน้าเหลอหราคล้ายถูกผีหลอก แบบว่า ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน?


แต่ผู้เขียนกลับมองไปในทางที่น่าสงสัยว่า คนขนาดนายกรัฐมนตรี เข้าไปพักนอนในบ้านพักทหาร แล้วมีอุบัติเหตุ พลทหารลื่นหกล้มเสียชีวิตในห้องน้ำทั้งคน มีหรือนายกฯจะไม่ทราบข่าว

หรือถ้าจะต้องปิดบังกัน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่นายกฯไม่ควรรับทราบ ก็สงสัยต่อไปได้อีกว่า เหตุใดฝ่ายทหาร จึงคิดปิดบังเช่นนั้น?

click to comment
เวลานี้ กำลังมีการดำเนินการให้มีการผ่าศพพิสูจน์กันอยู่ ใครๆ ก็อยากรู้ว่า การเสียชีวิตของพลทหารคนนั้นเป็นอุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม


ถ้าเป็นฆาตกรรม ก็นับว่านายกรัฐมนตรีได้เข้าไปใกล้การฆาตกรรมอย่างฉิวเฉียดที่สุด โดยที่ตัวเองแสดงอาการว่า ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้กลิ่นอายของฆาตกรรมนั้นเลย

ดังนี้แล้ว ประสาอะไรกับคำอภิปรายของนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่กล่าวว่า มีชายคนหนึ่ง กระโดดลงจากรถยีเอ็มซีขนศพ มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า มีศพอยู่ในรถคันนั้นหลายศพ ซึ่งถ้าเป็นความจริง ย่อมหมายความว่า มีการฆ่ากันตายในการปราบปรามประชาชนในวันสงกรานต์


เรื่องที่ว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องกำหนดอนาคตรัฐบาล ตลอดจนผู้บังคับบัญชาทหารอีกหลายคน จะว่าเป็นอนาคตของการเมืองระบอบประชาธิปไตยก็ยังได้

แต่ทั้งหมดนี้ นายอภิสิทธิ์มองเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้น เป็นข่าวอาชญากรรมในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์เช้าทั่วๆไป

นายอภิสิทธิ์จะขออยู่ทำหน้าที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ (ซึ่งแก้ไม่ได้) แล้วให้คนอื่นจัดการกับปัญหาเหล่านั้นไปตามยถากรรมของมันอย่างนั้นเอง

สละอำนาจเสียเถิดครับ

อัคนี คคนัมพร
ที่มาบทความ เวบไซต์ โลกวันนี้

click to comment


พลทหารอภินพ เครือสุข อายุ 22 ปี ทหารรับใช้ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตภายในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 ตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2552






รอง ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ หัวหน้าภาควิชานิติเวช โรงพยาบาลศิริราช แถลงข่าวผลการผ่าพิสูจน์ศพพลทหารอภินพ เครือสุข อายุ 22 ปี ว่า สาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นพบว่า บริเวณลำคอด้านหลังซ้าย ฐานกระโหลกศีรษะด้านซ้ายส่วนหลังมีรอยแตกร้าว ฐานกระโหลกศีรษะซ้ายส่วนหลังใกล้ช่องไขสันหลังมีรอยร้าวต่อเนื่องยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร พบเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มไขสันหลังส่วนคอ เนื้อสมองกลีบซ้ายส่วนหลังมีรอยกดยุบเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนา หลังจากนี้จะต้ดชิ้นเนื้อเยื่อ บริเวณ คอ แขน ขา กระดูก เพื่อมาหาผลตรวจอย่างละเอียดต่อไป

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังเข้าตรวจสอบศพพลทหารเกณฑ์อภินพ เครือสุข ที่เสียชีวิตในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งอยู่ระหว่างการชันสูตรศพของนิติเวช รพ.ศิริราช ว่า เดิมทีพรรคเพื่อไทย และญาติของพลทหารอภินพ ได้รับอนุญาตให้เข้าสังเกตการณ์การชันสูตรศพจากหัวหน้าภาควิชาแพทย์ศาสตร์ รพ.ศิริราช แต่ปรากฎว่ากลับมีคำสั่งจากคณบดีคณะแพทยศาสตร์ไม่อนุญาตให้ร่วมสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งถือเป็นความผิดปกติอย่างมาก เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในรับผิดชอบของคณบดี แต่อยู่ในความรับผิดชอบชองหัวหน้าภาควิชาเท่านั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ พรรคเพื่อไทยได้ตั้งประเด็นข้อสงสัยการตาย 3 ประเด็น คือ 1.ภายหลังเกิดเหตุมีการส่งพลทหารอภินพไปรักษาตัวที่รพ.รามาธิบดี แต่ปรากฎว่าภายหลังเสียชีวิตกลับได้รับในมรณะบัตรจากรพ.พระมงกุฎเกล้า

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า 2.ข้อสงสัยจากกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และแม่ทัพภาคที่ 1 ออกระบุว่าพลทหารอภินพศีรษะฟาดพื้นและเสียชีวิต แต่เมื่อไปดูใบมรณะบัตรได้เขียนว่า คอหัก และเมื่อญาติไปตรวจศพกลับพบมีบาดแผลที่มือ และร่างกาย และ3.การจัดพิธีศพ ที่ทางกองทัพไม่ให้เกียรติจัดพิธีอย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งที่พลทหารเสียชีวิตจากการรับใช้ชาติ และเร่งให้มีการจัดการกับศพแบบลุกลี้ลุกลน จนครอบครัวต้องนำศพไปซ่อนไว้ และนำมาฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ )ให้มาตรวจสอบทีหลัง อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะพยายามต่อสู้ให้ญาติได้รับความกระจ่างจากข้อสงสัยจากสาเหตุการตายต่อไป

ก่อนหน้านี้ น.พ.วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ ศิริราชพยาบาลแจ้งกับส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า หลังการหารือกับผู้บริหารของโรงพยาบาล จะไม่อนุญาตให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าไปสังเกตการณ์การชันสูตรพลิกศพ พลทหารอภินพ เครือสุข ในครั้งนี้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยอนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ใช่ญาติเข้าร่วมสังเกตการณ์ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย สามารถดูภาพการชันสูตรได้จากวิดีโอเทป ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงความไม่พอใจ เพราะยังเคลือบแคลงสงสัยผลการชันสูตร





Pic_1868

แม่'พลทหารอภินพ เครือสุข'ที่เสียชีวิตในบ้าน มทภ.1 นำศพลูกชายจาก จ.เลย เข้ามาร้องขอความเป็นธรรมให้ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเตรียมผ่าพิสูจน์ศพพรุ่งนี้ ตั้งคนกลางหาข้อเท็จจริง...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (25 เม.ย.) นางศิริมล มาเพชร พร้อมด้วยนายจักรพัตร เครือสุข มารดาและพี่ชายของ พลทหารอภินพ เครือสุข อายุ 22 ปี ที่เสียชีวิตในบ้านพักของ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา และกองทัพได้แจ้งว่าผู้ตายลื่นในห้องน้ำ คอหักเสียชีวิต พร้อมมีใบมรณบัตรแจ้งการเสียชีวิตว่ากระดูกส่วนคอหัก เลือดคั่งใต้เยื่อหุ้มสมอง และศพถูกส่งไปยังบ้านของผู้ตายที่ จ.เลย แต่ในวันนี้ ญาติของผู้ตายได้นำศพมาเก็บไว้ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

นางศิริมล กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าการเสียชีวิตของบุตรชายจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ จึงต้องการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคคลที่เป็นกลางเข้ามาชันสูตรศพ เพราะที่ผ่านมาบุตรชายเป็นคนที่นิสัยดี ร่าเริง ไม่เกเร และเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเสียชีวิตได้โทรศัพท์มาหาตามปกติ คุยเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีเรื่องการเมืองและเช้าวันที่ 15 เม.ย. ก็มีทหารโทรศัพท์มาแจ้งว่าบุตรชายเสียชีวิตแล้ว จะส่งศพไปยังบ้านเกิดที่ จ.เลย พร้อมกับกำชับว่าให้รีบเผาศพโดยเร็ว และให้เงินช่วยเหลือจำนวน 17,500 บาท

นางศิริมล ยังตั้งข้อสังเกตว่า วันที่ทหารนำศพลูกชายไปส่งที่บ้านเกิด ได้กำชับให้เร่งเผาศพ หลังจากนั้นก็ไม่มีทหารมาดูแลหรือให้การช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงมาสอบถามว่าเผาศพหรือยัง จึงเห็นว่าลูกชายไม่ได้รับความเป็นธรรม ตอนแรกว่าจะไม่เอาเรื่อง แต่เมื่อทำเช่นนี้ก็อยากรู้สาเหตุการตายที่แท้จริง โดยไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น และว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้นำศพไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมเกียรติ และมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยติดต่อเพื่อขอเป็นคนกลางในการหาข้อเท็จจริงการเสียชีวิต และในวันพรุ่งนี้ (26 เม.ย.) ทางโรงพยาบาลจะชันสูตรศพ

ด้านนางบุญตา คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 บ้านหนองอีเลิง ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย ซึ่งเดินทางมาด้วย กล่าวว่า เห็นลูกบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน ว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งทางปรีชาให้คำแนะนำว่าควรตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นคนกลางมาตรวจสอบ และแนะนำให้นำศพมาไว้ที่กรุงเทพฯ ก่อน


.....ข่าวก่อนหน้านี้

คลิกที่ภาพดู

แม่พลทหารไม่เชื่อตายอุบัติเหตุ โชว์smsก่อนตาย

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นำนางศิริมล มาเพชร แม่ของพลทหารอภินพ เครือสุข แถลงข่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของพลหทารอภินพ ที่บ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้งนี้มีการแสดงภาพถ่ายบาดแผลของผู้ตาย พร้อมกับข้อความบนหน้าจอมือถือข้อความ

“เมื่อคืนนายกมานอนบ้านแม่ทัพด้วย วันนี้ความคิดถึงกำลังก่อตัวเป็นก้อนเมฆเพื่อจะลอยไปหาที่รัก LOVE เหมียวที่สุดในโลกความรักที่ให้ทุกวันมั่นคงเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงตลอดทั้งคืน”

ข้อความที่ผู้ตายส่งให้กับแฟนสาวก่อนเสียชีวิตเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 เมษายน
-ขอความเป็นธรรมไม่ได้จับผิด

ด้านนางศิริมนต์ มารดาพลทหารอภินพ เปิดเผยว่า ภายหลังพ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ไม่อนุญาตให้แพทย์จากหน่วยงานอื่นเข้าร่วมสังเกตการณ์ชันสูตรศพลูกชายวันนี้ โดยอ้างเรื่องกฎระเบียบ ตนจึงตัดสินใจยกเลิกการชันสูตร ขอนําศพลูกชายไปชันสูตรที่ร.พ.ศิริราชแทนในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากต้องการให้แพทย์จากหน่วยงานอื่นๆร่วมสังเกตการณ์ด้วยเพื่อความโปร่งใส และเพื่อทราบถึงสาเหตุการตายของลูกชายที่แท้จริง ไม่ได้จับผิดใคร หรือเรียกร้องเงินทองอะไร แค่ต้องการพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏเท่านั้น หากผลการชันสูตรครั้งนี้ออกมาเป็นอย่างไรยอมรับทั้งสิ้น

นางศิริมนต์กล่าวต่อว่า วันแรกที่ลูกชายเสียชีวิตตนได้รับเพียงใบมรณบัตรใบเดียวเท่านั้น ใบรับรองแพทย์ หรือใบการชันสูตรพลิกศพไม่มีให้ดู และยังส่งคนมาบอกให้รีบเผาศพลูกชายให้เร็วที่สุด ตนเกิดความสงสัยถึงสาเหตุการตายของลูกชายอย่างมาก จึงต้องออกมาขอความเป็นธรรมครั้งนี้ อย่างไรก็ตามช่วงที่ลูกชายถูกส่งตัวไปทํางานบ้านแม่ทัพภาคที่ 1 ไม่นาน ประมาณวันที่ 14 เม.ย.ได้โทรศัพท์มาหาตน เล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับภารกิจในบ้านแม่ทัพให้ฟัง ลูกชายบอกว่างานไม่หนักมาก ล้างรถบ้าง จึงบอกให้ลูกอดทน ถือเป็นบุญของลูกที่ได้ไปอยู่บ้านเจ้านาย

-ศพถึงศิริราชรอชันสูตร27เม.ย.

นางศิริมนต์กล่าวด้วยว่า ตนยังสั่งลูกชายว่าอย่าออกไปไหนเพราะมีการชุมนุมประ ท้วงของเสื้อแดงอยู่จะเป็นอันตราย ลูกชายรับปาก ก่อนวางสายลูกชายบอกว่ากำลังคิดมีบ้านใหม่กับแฟนสาว แล้วจะมารับแม่ไปอยู่ด้วย จนกระทั่งทราบข่าวว่าเสียชีวิตแล้วตอนเช้าวันที่ 15 เม.ย. อย่างไรก็ตามการเสียชีวิตของลูกชายขออย่าได้โยงไปเป็นเรื่องการเมือง ตนแค่ออกมาขอความเป็นธรรมให้ลูกชายเท่านั้น

จากนั้นเวลาประมาณ 13.30 น.เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นําศพพลทหารอภินพออกจากร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมายังร.พ.ศิริราช เมื่อมาถึงทางร.พ.ศิริราชเก็บศพไว้ที่ห้องเย็นรอการชันสูตรพลิกศพวันที่ 27 เม.ย.นี้ ซึ่งสภาพศพพลทหาร อภินพอยู่ในชุดลายพรางทหาร มีหมวก เบเร่ต์ สีดําวางบนหน้าอก ใบหน้าและแขนมีรอยเขียวช้ำ

-พท.โต้ลั่นหากินกับศพ

นายพร้อมพงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ญาติของพลทหารอภินพมาร้องพรรคเพื่อไทยเพื่อขอให้ร่วมตรวจสอบกรณีดังกล่าว และอยากให้มีคนกลางจากฝ่ายต่างๆเข้าร่วมตรวจสอบ ทางพรรคจึงช่วย เหลืออำนวยความสะดวกประสานสถานที่ผ่าศพเพื่อชันสูตรหาสาเหตุ เบื้องต้นญาติติดต่อไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แต่ปรากฏว่าพ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่อนุญาตบุคคลภายนอกเข้าร่วมสังเกตการณ์การชันสูตร ญาติผู้เสียชีวิตกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของกองทัพค่อนข้างลุกลี้ลุกลน และเร่งรัดให้รีบเผาศพ จนญาติต้องเผาหลอกแทนเพื่อเก็บศพไว้ตรวจสอบ ทางพรรคจึงประสานร.พ.ศิริราชเพื่อชันสูตรแทน ซึ่งร.พ.ศิริราชรับดำเนิน การ และอนุญาตบุคลภายนอกเข้าร่วมสังเกต การณ์การผ่าชันสูตรวันที่ 27เม.ย.นี้ อย่างไร ก็ตามวันดังกล่าวจะมีตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย อาทิ น.พ.สุรวิทย์ และน.พ.ทศพรเข้าร่วมด้วย

"ยืนยันว่าเราไม่ได้หากินกับศพ หรือยื่นข้อเสนออะไรกับญาติผู้เสียชีวิตอย่างที่รัฐบาลกล่าวหา แต่รัฐบาลกำลังจะกลบเกลื่อนหลักฐาน เราเพียงต้องการหาความยุติธรรมให้กับญาติ เพราะลูกหลานคนจนที่ไปเป็นทหารรับใช้ชาติ เมื่อเสียชีวิตก็ควรจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ มีผบ.เหล่าทัพไปร่วมงาน ไม่ใช่แค่เพียงให้ความช่วยเหลือด้วยเงินเพียงหมื่นเดียว ทหารสักคนยังไม่มีไปร่วมงาน" โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ถ้าการผ่าศพพิสูจน์แล้วว่าพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตเป็นไปตามที่ระบุไว้ในใบมรณบัตรของร.พ.พระมงกุฎเกล้าจริง เรื่องก็จบ ญาติผู้เสียชีวิตระบุว่าจะจัดการเผาศพที่กทม.โดยไม่นำกลับไปจ.เลยบ้านเกิด แต่ถ้ายังมีข้อติดใจทางดีเอสไอที่รับเรื่องนี้ไว้เป็นคดีพิเศษก็คงต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งพรรคจะทำหนังสือไปถึงคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนฯ เพื่อดำเนินการกับหน่วยงานของรัฐเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาแก่ญาติต่อไป

.......................................................................

ตร.ชี้2การ์ดนปช.โดนฆ่า
เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยเครือธนาคารกรุงไทย ชื่อ บริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด (KGS) ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 106 จากการโทรศัพท์ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ระบุว่าผู้ตายคือ นายชัยพร หรือ “โจ” กันทัง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 287/2 หมู่ 3 ต.บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่
ปัจจุบันเป็นพนักงานของบริษัทดังกล่าว ซึ่งหายหน้าไปกับเพื่อน รปภ.อีกคนชื่อ นายนัฐพงษ์ หรือ “แก๊ป” ปองดี อายุ 23 ปี ชาว จ.อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา


ฆ่าถ่วงน้ำ - สภาพศพนายชัยพร กันทัง (ภาพเล็กบน) 1 ใน 2 ศพ รปภ.หนุ่มที่มาร่วมม็อบเสื้อแดง ถูกมัดมือไพล่หลังรุมซ้อมก่อนจับถ่วงแม่น้ำเจ้าพระยา ศพลอยขึ้นมาใต้สะพานพระปิ่นเกล้า พร้อมกับเพื่อนอีกคนคือนายณัฐพงศ์ ปองดี


รายงาน หลังจากเจ้าหน้าที่พบศพ 2 การ์ดนปช.คือนายชัยพร กันทัง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 287/2 บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่ กับนายณัฐพงศ์ ปองดี อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่2 ต.ทุ่งใหญ่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี ถูกฆ่าทิ้งลงในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายทั้งสน.บวรมงคล เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกก.สส. น.7 เจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนบช.น. และตำรวจกองปราบปราม เข้าร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจหาหลักฐานต่างๆ รวมทั้งได้ตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทางน้ำระบุถึงที่มาของผู้ตายทั้ง 2 ว่า ผู้เสียชีวิตถูกกลุ่มคนร้ายฆ่าแล้วโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเชื่อว่าจุดที่โดนฆ่าอยู่ไม่ใกล้จากจุดที่พบศพ เนื่องจากว่าบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงนั้น เป็นช่วงกระแสน้ำวน เมื่อโดนฆ่าแล้วนำศพทิ้ง ศพจะเจออยู่ที่บริเวณนั้น เสมือนกับศพของฝรั่งที่ฆ่าตัวบนสะพานพระราม 8 แล้วพบศพอยู่แถวนั้นไม่มีการลอยไปไกล เนื่องจากสภาพน้ำบริเวณน้ำเป็นสภาพน้ำวน

.........รายงานข่าวแจ้งต่อว่า หลังจากเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการอะไรมากนักเนื่องจากเป็นที่ทราบกันว่า ผู้เสียชีวิตเป็นการ์ดของนปช.และน่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่า ส่วนคดีทางผู้ใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงมุ่งเน้นไปที่คดีของนายสนธิที่ถูกลอบยิงเพียงคดีเดียว....................

นายชัยพร หรือ “โจ” กันทัง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 287/2 หมู่ 3 ต.บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่

นายชัยพร กันทัง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 287/2 บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่ ทราบว่า ทางญาติทำการฌาปนกิจเช่นกันที่วัด ลาดพร้าว วันที่ 18 เมษายน 2552

ผู้สื่อข่าว
นายสมคิด กันทัง อายุ 31 ปี พี่ชายนายชัยพร เปิดเผยว่า น้องชายไปทำงานเป็น รปภ.ในกรุงเทพฯ มากว่า 10 ปีแล้ว และได้ไปสมัครเป็นการ์ดให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนมกันในกรุงเทพฯ โดยส่วนตัวน้องชายชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และหายตัวไประหว่างวันที่ 13-14 เมษายน 2552 และการเข้าไปเป็นการ์ดครั้งนี้เป็นการเข้าไปสมัครเป็นครั้งที่สอง

ทั้งนี้ นายชัยพร ขณะเสียชีวิตได้สวมชุดดำ ซึ่งเป็นชุดของการ์ดของคนเสื้อแดง สภาพศพบริเวณใบหน้ายุบ ถูกมัดปากด้วยผ้าสีขาว ถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกสีน้ำเงินและมัดเท้า พบศพขึ้นอืดลอยน้ำอยู่ท่าเรือพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม.เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 15 เม.ย.2552 โดยการชันสูตร สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศจากการจมน้ำ

สำหรับนายชัยพร น้องชายเป็นคนสนใจการเมืองและชอบพ.ต.ท.ทักษิณ และตนก็ชอบแต่ไม่แสดงตัวเอง เพราะชอบนโยบายการปราบปรามยาเสพติด การพัฒนาอาชีพของชาวบ้าน และทำสิ่งดีๆกับประเทศมากมาย ส่วนเรื่องการเสียชีวิตของน้องชาย ก็ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะบ้านมีฐานะยากจน ตนเป็นเพียงช่างอู่เคาะพ่นสีรถ เพียงแต่ห่วงว่าลูกของนายชัยพร ที่อายุได้ 7 และ 6 ขวบ ที่จะต้องทำอย่างไรกับชีวิต

อย่างไรก็ตาม ตนจะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อติดต่อขอรับเงินชดเชยการเสียชีวิตของนายชัยพรในเหตุการสลายการชุมนุมที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 4 แสนบาท เพื่อจะนำเงินมาเป็นทุนการศึกษาของลูกนายชัยพร ส่วนเรื่องอื่นยังคิดอะไรไม่ออกเพราะครอบครัวก็ยังต้องหาเช้ากินค่ำ และหลังจากการจัดงานศพเงินก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว

แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การมาร่วมงานเผาศพนายชัยพรในวันดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ทอดทิ้งกัน ยังรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มาให้กำลังใจกัน และกลุ่มคนเสื้อแดงในภาคเหนือก็จะประสานรวมกันอย่างนี้ตลอดไป และหากจะดำเนินการอะไรต่อไปเราก็จะทำร่วมกันทั้งหมด

.......

นายนัฐพงษ์ หรือ “แก๊ป” ปองดี อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 2 ต.ทุ่งใหญ่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี

(18 พ.ย.52) เวลา 13.00 น. ญาติของนายณัฐพงษ์ ปองดี อายุ 29 ปี รปภ.ที่เสียชีวิตกับเพื่อน รวม 2 ศพ อยู่บ้านเลขที่ 119 ม.2 บ้านหนองกุง ต.ทุ่งใหญ่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี ญาติพี่น้องได้นำศพของนายรัฐพงษ์มาประกอบพิธิทางศาสนาที่บ้านเกิดจ.อุดรธานีแล้ว โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจอย่างมาก มีพวงหรีดจากบริษัท กรุงไทยบริการ และชมรมคนรักอุดร (ทุ่งฝน) มาคาราวะศพผู้ตาย

ขณะที่ภรรยาและแม่ของผู้ตายขอร้องผู้สื่อข่าวไม่ขอเปิดเผยชื่อ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าต้องการฌาปนกิจศพของนายรัฐพงศ์ให้เสร็จก่อน ส่วนคดีขอพูดกันทีหลัง โดยเตรียมเผาวันนี้ที่วัดทิพย์ศรีปัญญาในเวลา 17.00 น. ขณะเดียวกันนายทองดี มนิสสาร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 2 จ.อุดรธานี ได้เดินทางมาเคารพศพ และยืนยันกับญาติว่า ผู้ตายไม่ตายฟรีแน่นอน ต้องหาผู้รับผิดชอบให้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางเพื่อนร่วมบริษัทได้ยืนยันมาว่า ผู้ตายทั้ง 2 บอกจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงตั้งแต่กลางดึกวันที่ 13 เม.ย.จนหายไร้ร่องรอยและกลายเป็นศพถูกฆ่าอย่างทารุณ โยนทิ้งแม่น้ำ

ในขณะที่บรรดาชาวบ้านที่รู้จักเดินทางมาร่วมงานและต่างวิพากวิจารณ์ไปต่างๆ นานาถึงการตายของนายรัฐพงษ์ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก เพราะกลัวเป็นอันตราย นอกจากนี้บรรดาญาติและพี่น้องพยายามปิดข่าว เนื่องจากกลัวว่า ผู้สื่อข่าวเป็นเป็นทหารหรือตำรวจ แต่แหล่งข่าวคนขับรถแท็กซี่ที่เป็นคนรู้จักผู้ตายและเดินทางมาร่วมเผาศพครั้งนี้เปิดเผยว่า ยืนยันผู้ตายทั้งสองคนเข้าร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงจริง ส่วนสาเหตุจะตายด้วยเหตุใดนั้นไม่ขอพูดเพราะหวั่นอันตรายมาถึงตัวเอง

การ์ด นปช.ทั้ง 2 คนเสียชีวิตอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ มีเครื่องหมาย “RESCUE” สีเหลืองที่หน้าอก นุ่งกางเกงขายาวสีดำ สวมถุงเท้าสีดำ มีบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งที่ใบหน้าและตามร่างกายหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีผ้าสีเหลืองและสีขาว 2 ผืน มัดต่อกันผูกปิดไว้ที่ปาก ส่วนที่มือทั้ง 2 ข้างถูกพันธนาการด้วยเชือกไนล่อนสีฟ้าในลักษณะไพล่หลัง

จากการสอบสวน นายประมุข สาครรัตน์ อายุ 23 ปี เพื่อน รปภ.บริษัทเดียวกัน ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา นายชัยพร และ นายนัฐพงษ์ ได้นั่งดื่มสุรากันอยู่ในบริษัท จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 14 เม.ย.52 นายชัยพร ซึ่งเป็นคน จ.แพร่ และนิยมชมชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างมาก จึงชักชวนนายนัฐพงษ์
ขับรถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีส้ม ทะเบียน ศฐ 519 กทม.พากันซ้อนท้ายกันออกมาจากบริษัท โดยบอกว่าจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.เสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาลแล้วก็หายไป

“จากนั้นพอถึงช่วงเช้าก็ไม่มีใครติดต่อทั้ง 2 รายได้เลย เพื่อนๆ พนักงานที่บริษัทจึงชักชวนกันไปบอกญาติๆ แล้วพากันไปแจ้งความบุคคลสูญหายไว้กับพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์ติดต่อไปที่บริษัท ว่าพบศพชายนิรนาม ใส่หัวเข็มขัดของ “KGS” จึงรีบรุดมาตรวจสอบ” นายประมุข กล่าว


..........................................................................

ภาพในคลิปที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ เผยแพร่

(23 เม.ย.) เวลาประมาณ 12.40 น. ระหว่างการประชุมรัฐสภา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ..แพร่ พรรคเพื่อไทย ขออนุญาตนำเทปบันทึกภาพ ที่อ้างว่าเป็นภาพบุคคลที่เป็นพยานรู้เห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาเปิดในที่ประชุมเพื่อประกอบการอภิปราย แต่นายประสพสุข บุญเดช ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้นไม่อนุญาต เนื่องจากเป็นการทำตามข้อตกลงของสภาที่จะไม่อนุญาตให้มีการนำภาพที่ไม่ผ่านการตรวจสอบมาเปิดเผยในที่ประชุม ทำให้นายวรวัจน์ไม่พอใจและระบุว่า รัฐบาลต้องการปิดกั้นและแทรกแซงการแสดงออกทางความคิดเห็น จนทำให้นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ต้องขึ้นมาทำหน้าที่และชี้แจงด้วยตนเอง โดยยืนยันว่า ไม่สามารถอนุญาตให้เปิดภาพดังกล่าวได้ แม้นายวรวัจน์จะระบุว่า พร้อมรับผิดชอบข้อมูลที่นำมาเปิดเผย ก่อนที่จะเปลี่ยนให้นายประสพสุขทำหน้าที่ต่อไป จนเกิดการประท้วงจากทั้ง ..ฝ่ายค้านและรัฐบาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก