ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันอาทิตย์, พฤษภาคม 10, 2552

ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ ‘สุมกบาล’ เพื่อก่อกบฏ!....โดย : วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ที่มา ..http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=139

วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ฝรั่งถือว่า 1 เม.ย.เป็น April fool Day ที่ผู้คนจะล้อเล่นหรือ “อำ” กันเอาสนุก โดยไม่ถือสากัน ซึ่งผมชอบดูข้อความที่อำกันนัก ในวันนั้นผมจึงเปิดอินเตอร์เน็ต และตรวจข่าวดู ได้เห็นหัวข่าวนึกว่าล้อกันเล่น คือ
ฮุนเซน จวก กษิต!
โปรยตามว่า
"ฮุนเซน"จวก"กษิต"สบประมาทเรียก "นักเลง"ไม่ได้โกรธแต่กรุณาให้เกียรติ

ครั้นได้อ่านรายละเอียดของข่าวแล้ว จึงรู้ว่าไม่ได้เป็นรายการ “ล้อกันเล่น” เพราะจากถ้อยคำที่ท่านฮุนเซน แสดงอาการโกรธขึ้งรัฐมนตรีคนที่ผมบอกว่า เป็นฝีคัณฑสูตรในรูตูดประชาธิปัตย์ (ซึ่งได้นำเสนอท่านผู้อ่านไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว) ถ้อยคำของผู้นำเขมรยังแสดงนัยยะอย่างสำคัญคือ
"เขาสบประมาทผม เรียกผมว่าเป็นนักเลง จะเป็นอย่างไร ถ้าผมพูดจาจาบจ้วงสถาบันของคุณ พวกคุณจะพูดอย่างไรถ้านายกรัฐมนตรีหรือบรรพบุรุษของคุณถูกสบประมาท ผมไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่กรุณาใช้คำพูดที่ให้เกียรติกันบ้าง ผมเป็นผู้นำกัมพูชาที่มาจากการเลือกตั้งโดยเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่ใช่การปล้นอำนาจ"

อ่านแล้วทำให้นึกได้ว่า ผมเคยเห็นภาพการ์ตูนเขมร ซึ่งวาดโดยนาย Bunheng Ung เขาใช้ลายเส้นวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย อย่างตรงไปตรงมา เป็นรูปนายกฯ สมชาย วงษ์สวัสดิ์ นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไฟลุกจากด้านหลังตรงพนักเก้าอี้ มีรูปผู้ชายสวมเสื้อเหลือง ผูกไท ตรงกระดุมด้านล่างของเสื้อนอก เขียนอักษรว่า PAD (People’s Alliance for Dam-o-crazy=พันธมาร)


content/picdata/139/data/photo1.jpg

มีคำอธิบายว่าชายคนดังกล่าวคือ Abhisit Vejajiva กำลังจับหญิงหน้าตื่นตกใจ หงายมือซ้ายไปทางคุณสมชายฯ มือของผู้ชายกำมีดจ่อลำคอหญิงที่น่าสงสาร การ์ตูนนิสต์ให้ชื่อเธอว่าThailand โดยมีคำพูดจากชายคนร้ายว่า “Step down or we cut her throat” หรือ “ลงจากเก้าอี้ซะ หรือจะให้เราตัดคอเธอ!”

แสดงให้เห็นว่า การ์ตูนนิสต์ขะแมร์อย่างคุณ Bunheng Ung มีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับไทยแลนด์ จนรู้ว่าดีว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือนายมาร์ค มุกควาย (ฉายาที่ผมตั้งให้) และพรรคของเขานั้น แท้ที่จริงก็คือ อันหนึ่งอันเดียวกันกับแก๊งพันธมาร ซึ่งร่วมกันดำเนินการโค่นล้มรัฐบาล ทั้งส.ส.ของพรรคตัวเอง ไปปรากฏเป็นแนวหน้าในการก่อการร้าย ฮึกเหิมถึงขั้นจับชาติไทยเราเป็นประกัน ด้วยการยึดสนามบินนานาชาติ
สร้างความฉิบหาย ให้ชาติบ้านเมืองของเรา โดยแท้!


ใช่แต่คนไทยอย่างเราๆ ท่านๆที่รู้กันเท่านั้น แม้แต่คนในประเทศเพื่อนบ้านรั้วติดกันกับเรา ไม่ว่าเป็นผู้นำอย่างท่านฮุนเซน นักเขียนการ์ตูนอย่างคุณ Bunheng Ung หรือคนขายบุหรี่ในบ่อนปอยเปต ต่างก็ล่วงรู้พฤติกรรมยำหมาของพรรคดักดาน ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อนายกษิตฯผู้เสมือนฝีคัณฑสูตร ในรูตูดของประชาธิปัตย์ ไปพูดล่วงล้ำก้ำเกินผู้นำชาติเพื่อนบ้าน ว่าเป็น “กุ๊ย” บ้าง ด่าว่าเขาเป็น “นักเลง” บ้าง จึงสร้างความร้าวฉาน ให้กับ สัมพันธ์ไมตรีของสองประเทศ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้นำอย่างสมเด็จฮุนเซนนั้น ได้ปกครองบ้านเมืองมากว่าสองทศวรรษ นานกว่าผู้นำคนไหนๆในเอเชีย มีความรู้ความสามารถเต็มเปี่ยม สร้างความสงบสุขและพัฒนากัมพูชา จนเจริญรุดไปข้างหน้า แน่นอนว่าผู้นำที่ฉลาดอย่างนายกฯเพื่อนบ้าน ย่อมรู้เช่นเห็นชาติกับพฤติกรรม และสันดานดักของนายมาร์ค มุกควายกับพรรคพวกเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น....
...มีหรือที่เขาจะไม่ ‘ย้อน’ เอาอย่างเจ็บๆ!?

ถ้านายมุกควายอยากให้ไทยรบกับเขมรเร็วๆ ก็จงเก็บไอ้ปาก กว้างชนิด “อมเปียโน” ได้ แถมยังเป็นปากที่ไม่มีหูรูด เอาไว้ข้างกายตัวเอง ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งไปกว่านี้ จะได้พากัน
“ฉิบหาย” ...เร็วขึ้น!


บรรดาทูตขรตรีเศียรในบ้านเรา ต่างก็รู้ดีว่าพรรคดักดานประสานมือกับพันธมารแน่นหนึบ จนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ผนวกกับการสนับสนุนของกลุ่มทหาร ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ได้ร่วมกันสร้างสถานการณ์ โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ได้สำเร็จถึงสองครั้งสองคราในรอบ 3 ปี

ดังนั้น แม้พรรคประชาธิปัตย์จะอ้างว่า เข้าสู่อำนาจโดยชอบ แต่คนไทยในบ้านในเมืองจำนวนมาก เขาแย้งว่า...
“ไม่ใช่!”

ใครที่ยังไม่ เชื่อเรื่องการเข้าสู่อำนาจของพรรคเก่าแก่ ว่าไม่ชอบธรรมนั้น มาถึงวันนี้สมเด็จฮุนเซนได้พูด และอธิบายความชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปแล้วว่า ท่านเป็นผู้นำกัมพูชาที่มาจากการเลือกตั้งโดยเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการ...
...ปล้นอำนาจ!!

ไอ้พวกโจรนักปล้น รู้จักแหกหูฟังซะบ้าง ก็จะดี!!!

ข่าวการให้สัมภาษณ์อย่างขัดเคือง ของนายกฮุนเซนนั้นช่างมาได้จังหวะ สอดคล้องกับข่าวสารที่เผยแพร่ออกมาในระยะนี้ ทำให้ผู้คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน ถึงขบวนการโค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทย เมื่อ ปี พ.ศ.2549 โดยวันที่ 27 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วิดีโอลิงค์ แฉว่า คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ใครที่ไหน แท้จริงก็คือ

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์!

จากนั้น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกฯโฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ 19 ก.ย.2549 ว่า

เป็นเรื่องจริง!

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี บอกว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยเชิญตนเข้าร่วมประชุม แต่พล.อ.พัลลภ ได้ให้สัมภาษณ์กระแทกต่ออีกครั้งว่า นาย ปีย์ มาลากุล เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเป็นผู้เชิญตน และประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่ยังมีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่า จะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ

- ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย
- ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จ ก็จะทำรัฐประหาร

พล.อ.สุรยุทธ์ฯ เจ้าของเขายายเที่ยงพาเลซ ออกมาแถลงยอมรับว่า มีการพบปะกันจริง แต่เป็นการคุยกันเรื่องบ้านเมือง แต่ไม่ยอมรับว่ามีการคุยกันถึงเรื่องการทำรัฐประหาร
การพูดแบบนี้ คนที่เป็นตำรวจก็จะรู้ว่า เป็นคำให้การแบบ “ภาคเสธ” คือแบ่งรับแบ่งสู้ คือรับบางส่วนและก็ปฏิเสธบางส่วน


พล.อ.พัลลภ ได้ให้รายละเอียดว่า นาย ปีย์ มาลากุล เป็น หัวโจกในการนัดกินข้าว โดยมีบุคคลที่ไปร่วมประกอบด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายปราโมทย์ นาครทรรพ และมีตุลาการ 3 นาย คือชาญชัย ลิขิตจิตถะ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา เป็นประมุขฝ่ายตุลาการ และนายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษาในขณะนั้น ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น คือ นายอักขราทร จุฬารัตน์ คนเก่าแก่ของสำนักงานกฤษฎีกา ซึ่งต่อมาเมื่อมีการเปิดศาลปกครอง บุญพาวาสนาส่ง ได้ตำแหน่งประธานตุลาการ ศาลปกครองสูงสุด


ความขี้เท่อของนายปีย์ฯ ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อ ทั้งหนังสือรายสัปดาห์และกระบอกเสียง จส.100 (ที่คนลือว่าเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ของนายหัวเกลี้ยงคนนี้) ปรากฏออกมาให้ผู้คนเขาจับได้ เพราะดันให้สัมภาษณ์ ว่า


ตนเชิญนายปราโมทย์มา เพราะเป็นนักกฎหมาย และโด่งดังจากบทความเรื่องปฏิญญาตอแหลฟินแลนด์ ซึ่งสิ่งที่นายหัวล้านแกพูดนั้นไม่จริง เพราะนายปราโมทย์ฯไม่ได้เป็นนักกฎมาย

นายปีย์ฯยังอ้างว่า ตนเชิญพล.อ.พัลลภฯก็เพราะโด่งดังจากเรื่องคาร์บอมบ์ ต่อมาบรรดาคอการเมือง เขาได้จับคำพูดของนายปีย์ฯ ไปเทียบวันเวลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ปรากฏ ว่า


ในวันที่คนพวกนี้ยกโขยง ไปชุมนุมกันที่บ้านนายปีย์นั้น ทั้งสองเหตุการณ์อย่างปฏิญญาตอแหลฟินแลนด์ ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่เกิดถัดไปอีก 12 วัน หลังจากวันประชุม (และเป็นเหตุให้นายกฯทักษิณฟ้องร้อง จนนายปราโมทย์ต้องแพ้ความ ศาลสั่งจำคุก 1 ปี) ส่วนเรื่อง คาร์บอมบ์นั้นก็อีกเป็นเดือน กว่าจะเกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองเหตุ หลังการประชุมที่บ้านนายปีย์ ล้วนแต่เป็นผลร้ายกับทักษิณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปฏิญญาตอแหลแลนด์ คาร์บอมบ์ การยึดอำนาจ รวมถึงการตัดสินคดีความที่ติดตามมา ซึ่งคนเขารู้สึกว่ามันพิลึกพิลั่น และทำให้คุณทักษิณตกอยู่ในฐานะลำบาก
ตรงนี้เอง ที่นักสืบรุ่นลูกศิษย์คนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตกับผม ว่า
“สงสัยว่า ไอ้หัวล้านมันคงเรียกคนพวกนี้ไป ‘แจกงาน’ แต่ตัวเอง ดันจำสับสน!?”
อือม์....เขาพูดจาก็มีเหตุผล น่าคิดอยู่นะ หรือท่านผู้อ่านที่รักของผม มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ?

สิ่งที่คาดไม่ถึงอีกอย่างหนึ่งคือ พล.อ.พัลลภฯได้เปิดเผยว่า นายปีย์ฯนั้น มีพฤติกรรมอุกอาจ โดยพูดกับตนว่า
“ทำให้ทักษิณ หายไปได้ไหม!?”
พูดกันทื่อๆแบบหัวหน้าซุ้ม ถามมือปืนในคาถาเอาดื้อๆว่า “ฆ่าทักษิณได้ไหม!?” นั่นเอง!

หากเป็นความจริง (ขอเน้นว่า “หากเป็นความจริง”) ตามคำของ พล.อ.พัลลภฯ คำพูดมุ่งร้ายของนายปีย์นั้น ก็กลายเป็นสิ่งที่เปิดหน้ากากคนที่หน้าฉากดูดี แต่หลังฉากมันกลายเป็นแค่ไอ้พวกอันธพาลชั้นต่ำ ที่มุ่งปลิดชีวิตผู้คน ไม่ผิดอะไรกับคำว่า gangster อย่างที่นายปากปีจอ ใช้กล่าวหาผู้นำต่างชาตินั่นเอง!

โอ้โฮ! นี่ถ้าเปลี่ยนเป้าหมาย จากมุ่งเอาชีวิตทักษิณ ไปเป็นคนที่อยู่ในวงการบู๊ลิ้ม อย่าง “ป๋าลอ” ป่านนี้นายหัวเลี่ยนคงต้องย้ายที่นอนหรือไม่ก็ได้กลับบ้านเก่า ทิ้งให้เมียเป็นม่ายแล้ว!


ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ผมว่าพฤติกรรม ของคนอย่างนายปีย์ฯนั้น เป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย เพราะไอ้พวกหน้าม้า ที่รับงานจัดฉาก เป็นตัวประสานประโยชน์ เฉกเช่นการทำธุรกิจนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายไม่ได้หา “กำไร” หากแต่มุ่งโค่นล้มรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้คนอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ เข้าสู่อำนาจ!

ขอให้ท่านผู้อ่าน ลองสังเกตให้ดีๆ เมืองไทยนี่ก็แปลก คนทำไม่ดีกับบ้านเมือง ไม่ช้านานเบื้องหลังความระยำต่างๆ ก็มักถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน และเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ผมเห็นว่ามันยิ่งเสริมให้หลักฐานหนักแน่น ดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะคำยืนยันของผู้ร่วมขบวนการฝ่ายพันธมาร ที่ออกมาลำเลิกเอาบุญคุณพล.อ.สุรยุทธ์ เพราะเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯได้แล้ว ยังไม่ได้ยกสถานีโทรทัศน์ให้เขาไปช่องหนึ่ง ตามที่ได้ตกปากลงคำเอาไว้

ตรงนี้เอง ทำให้หลักฐานแผนการโค่นล้มรัฐบาล ดูมั่นคงมากยิ่งขึ้นในสายตาผู้คน (รวมทั้งผมด้วย!)

การพูดจาแก้เกี้ยวเลี้ยวลด เคี้ยวคดไปมานั้น สื่อที่เขาคอยตรวจสอบอยู่ ก็สามารถจับได้ไล่ทัน ทางฝ่ายคุณทักษิณฯน่าจะลองดำเนินการตามกฎหมาย โดยแจ้งความเอาผิดนายปีย์ฯ เรื่องพยายามจ้างวานฆ่าผู้อื่น และร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานล้มล้างรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายดู น่าจะครึกครื้นดีไม่น้อย

ขอตั้งข้อสังเกต เพิ่มเติมอีก กล่าวคือ

ข้อสันนิษฐาน อันเกิดจากคำแถลงของพล.อ.พัลลภฯ และพยานแวดล้อมต่างๆ ยังทำให้ผมมองเห็นว่า การกระทำของคนอย่างนายปีย์ฯ ในฐานะต้นคิดหรือผู้ประสานประโยชน์ เขาก็เป็นแค่นักธุรกิจ ส่วนนายปราโมทย์ฯนั้น ก็เป็นเพียงคนสายตาชำรุด ทำได้แค่มะงุมมะงาหราขึ้นเวที ตีฝีปากพ่นไปเห่าไปเท่านั้น ไม่ได้มีพิษสงแต่ประการใด



แม้แต่พล.อ.สุรยุทธ์ฯนั้น ผมก็ยังพอเข้าใจได้อีก ทั้งนี้จากการจับคำพูดเรื่องการสัญยิงสัญญาว่า จะยกสถานีโทรทัศน์ให้ พันธมาร 1 ช่อง ที่ให้สัญญาลมๆแล้งไปอย่างนั้น ก็แค่แกกระสัน เพราะอยากเป็นนายกรัฐมนตรี...ก็เท่านั้นจริงๆ!



อยากจะกราบเรียน กับท่านผู้อ่านว่า สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลย ก็คือ คนซึ่งดำรงตำแหน่งอย่างนายอัคราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษา ดันไปร่วมประชุมกับเขาด้วย และที่ผมตกใจมาก จนเกือบจะช็อค ก็คือ
บุคคลที่เป็นประมุข ของบรรดาผู้พิพากษาทั้งหลายในประเทศนี้ คือ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ดันผ่าไปร่วมประชุมซึ่งที่บ้านนายปีย์ฯด้วย น่าเศร้าเสียใจมาก
สังคมรับไม่ได้หรอกครับ รู้ไปถึงไหน...อายเขาถึงนั่น!

มีพรรคพวกคนหนึ่ง ถามผมว่า
“การประชุมที่บ้านนายปีย์นั้น เป็นไปตามทฤษฎีสมคบคิด(Conspiracy Theory) ใช่หรือไม่ครับอาจารย์?

ผมตอบว่า “ไม่ใช่” แล้วอธิบายเหตุผล ดังนี้

ทฤษฎีสมคบคิดนั้น ข้อเท็จจริงมีน้อย แต่ได้นำความเท็จ หรือความคิด แม้กระทั่งจินตนาการ มาร้อยเรียงต่อเติมเสริมแต่งกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ด้วยการจัดเวลาให้ดูพอเหมาะ เพื่อใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์อื่นซ่อนเร้น แต่เรื่องที่บ้านนายปีย์ฯ ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเป็นการสุมหัวเพื่อการก่อการกบฏ! (ใครจะเรียกปฏิวัติหรือ รัฐประหารก็เชิญ) และเป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเวลาต่อมาภายหลัง ได้รับการพิสูจน์ทราบแล้วว่า

มีเหตุผลสอดคล้อง เจือสมกับเหตุการณ์ประชุมสุมหัวที่เกิดขึ้น อย่างลงตัวเหมาะเจาะ โดยไม่จำเป็นต้องเติมเสริมแต่งแต่ประการใด


ถึงกระนั้น ผมยังเห็นว่า ไม่สำคัญเท่ากับเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อๆมาที่เกิดขึ้นโดยฝ่ายตุลาการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังมาลงโทษกับฝ่ายคุณทักษิณ หรือผลคดีที่ปรากฏต่อสาธารณชนในเวลาต่อมา ที่คนในประเทศนี้ซุบซิบกันว่ามันบิดเบี้ยว ขาดความเป็นธรรมชัดเจน จึงเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ศาลยุติธรรม ซึ่งผู้คนในชาติเคยให้ความไว้วางใจ พึ่งพาอาศัยได้ แต่มาบัดนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยลงแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังการประชุมอัปรีย์ที่บ้านนายปีย์ฯ ดูประดุจผู้พิพากษาถูกชักจูงโดยฝ่ายการเมือง เพราะ...

ดันไปเลือกขั้ว เลือกข้าง กับเขาด้วย!

ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มีผลทำให้ระบบศาลไทย ซึ่งเสมือนเสาหลักแห่งความยุติธรรมของประเทศ จึงดูผุกร่อน ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด จนดูเหมือนประเทศเรา กลายเป็นบ้านเมือง ที่ขาดความเป็นธรรมไป
จากนี้ต่อไป จะให้ประชาชนคนในชาติ เคารพไว้วางใจศาลสถิตยุติธรรม ไม่ได้สนิทใจอีกแล้ว...ตรงนี้น่าเสียดายยิ่งนัก!

อยากจะประกาศให้ดังๆ ตรงนี้ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าประมุขศาลสถิตยุติธรรม ที่ชื่อ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ไปบ้านของ “นายหัวล้าน-หัวร้าย” ในวันนั้น ได้ส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจ ให้กับผู้คนที่รักความเป็นธรรม ในบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
แม้ขณะนี้เจ้าตัว คือ นายชาญชัยฯ ซึ่งเป็นอดีตประธานศาลฎีกาไปแล้ว จะยังไม่ออกมาแถลงตอบโต้ แต่ผู้คนจำนวนมาก (รวมทั้งผมด้วย) เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ว่า

การพบปะกันของคนกลุ่มนี้ ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล ในวันอุบาทว์นั้น เป็นการไป...

‘สุมกบาล’ เพื่อการก่อกบฏ หรือใครว่าไม่จริง!!!?




...................................................................................


เหตุที่เอาบทความนี้มาลงพราะไปเจอข่าวและภาพที่สะเทือนใจหวังว่าพวกที่คลั่งพันธมิตรจะคิดบ้างว่า พวกคุณบ้าหรืองมงาย
......................



นี่หรือคนที่จะออกมากู้ชาติ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก