ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันจันทร์, มิถุนายน 07, 2553

เมื่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน(อาจ)ต้องเป็นโมฆะ ?

โดย...เทิดไท ประชาธรรม

.......................................................



ท่านผู้อ่านที่เคารพ ปกติจะพบกับผู้เขียน "เทิดไท ประชาธรรม" เป็นประจำในคอลัมน์ "สถานีไพร่" ทาง นสพ.ไทยเรดนิวส์ ทุกวันศุกร์ แต่หลังจากฉบับที่ 51 (เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว) เป็นต้นมาพวกรัฐบาลโดย "นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ" มันก็ได้สั่งปิด นสพ.ไทยเรดนิวส์ พร้อมกับพี่น้องสื่ออีก 2 ฉบับ คือ voice of Taksin และ ความจริงวันนี้ เรียบร้อยโรงเรียนอำมาตย์ชาติชั่ว


ท่านผู้อ่านครับ เมื่อสื่อทางเลือกของคนเสื้อแดงทุกช่อง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ รัฐบาลนอมินีอำมาตยาสามานย์ มันใช้อำนาจเถื่อนตาม พรก.ฉุกเฉิน โดยให้ ศอฉ.สั่งปิดจนหมดเกลี้ยง ผู้เขียน คนชอบเขียน เขียนแล้วไม่ได้ลงพิมพ์ มันเหมือนจะลงแดงจริง ๆ ครับท่านที่เคารพ


ในเมื่อสื่อที่จะลงพิมพ์มันถูกปิด ศอฉ.โปรดทราบ ช่องทางนี้ จึงเป็นช่องทางเดียวที่เหลือให้ผมเลือก คุณบีบให้ผมต้องเลือกช่องทางนี้เองนะ ศอฉ.


(ขอขอบคุณ กลุ่ม tsro/redthai และเพื่อน ๆ ทุกท่านที่ช่วยส่งบทความของผู้เขียนต่อ ๆ กันไป )



ท่านผู้อ่านครับ มีแฟนประจำท่านหนึ่งที่เป็นนักกฎหมาย โดยเหตุผลส่วนตัว และหน้าที่การงาน จึงไม่ประสงค์ออกนาม ได้ส่งบทความวิเคราะห์กรณี เมื่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอาจเป็นโมฆะ ถึงผู้เขียนให้ช่วยพิจารณาลงพิมพ์ใน "ไทยเรดนิวส์" เมื่อไทยเรดนิวส์ถูกปิดอย่างที่ทราบ จึงจำเป็นต้องลงพิมพ์ทางช่องทางนี้ ดังนี้ครับ



"หลังจากที่


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่า คณะะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 จนก่อให้เกิดผลตามมามากมาย ไม่ว่าการอาศัยอำนาจของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ..2548 ในการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ นั่นคือ ศูนย์อำนวยการแก้ไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. การแต่งตั้งผู้อำนวยการศูนย์ การแต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน การแต่งตั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ การสั่งการให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆตามคำสั่งที่ออกมาในแต่ละครั้ง จนกระทั่งมีการสลายการชุมนุม หรือในภาษาศัพท์ใหม่ที่รัฐบาลบัญญัติไว้ว่า "การขอคืนพื้นที่" "การกระชับพื้น" และสุดท้ายคือ มีการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก มีการเผาอาคารสถานที่ทั้งของรัฐและเอกชน และการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหา การมอบตัวของแกนนำ นปช. ในที่สุด


หลายท่านคงจำกันได้ว่า เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีการออกหมายจับกลุ่ม นปช.จำนวน 16 คน และได้ยื่นคำร้องและคำคัดค้านต่อศาลอาญาว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูณฉบับปี 2540 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 ศาลอาญาได้มีคำสั่ง


ยกคำร้องคัดค้านที่ 16 แกนนำนปช. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับได้คัดค้านการออกหมายจับในคดีที่กระทำการฝ่าฝืน พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.. 2548 โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การออกหมายจับดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนหมายจับดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่า การออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ชอบด้วยกฏหมายหรือไม่นั้น ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยลงมาก่อน



ประเด็นจึงมาอยู่ที่ว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 (รวมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม 17 จังหวัดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 ) จะไม่ชอบด้วยกฏหมาย และตกเป็นโมฆะเนื่องจากไม่มีกฏหมายรองรับ


เรามาตั้งข้อสังเกตพร้อมๆกันครับ



1.


พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน .2548 เป็นกฏหมายที่ออกมาในรูปของพระราชกำหนด ในยุคของรัฐบาล ...ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการกำหนดไว้ด้วยว่า "พระราช กำหนดนี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๘ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย..." ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในขณะนั้นคือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540


2. การออกพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวนี้ ได้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากนักวิชาการ นักการเมือง ผู้ทรงคุณวุฒิ มากมายหลายท่าน ตัวอย่างเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในขณะที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ยังแสดงความแคลงใจเหมือนกันว่า พระราชกำหนดฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมทั้งยังเคยเสนอให้รัฐบาลในขณะนั้นทบทวนการออกพระราชกำหนดฉบับนี้เช่นกัน



3.


โดยทั่วไปแล้ว การออกกฏหมายในรูปของพระราชกำหนด มักจะต้องเป็นกรณีเร่งด่วน ฉุกเฉินที่รอช้าไม่ได้ และเมื่อรัฐบาลออกพระราชกำหนดมาใช้บังคับแล้ว จะต้องรีบนำเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาอนุมัติในการประชุมสภาครั้งถัดไปโดยเร็ว หากได้รับการอนุมัติจากสภาทั้งสองตามวิธีการที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนดดังกล่าวก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นพระราชบัญญัติ คือเป็นกฏหมายที่ออกโดยนิติบัญญัติโดยทันที แต่ถ้าไม่ได้รับการอนุมัติ พระราชกำหนดดังกล่าวก็จะตกไปเช่นกัน หรือหมดสภาพบังคับต่อไป ซึ่งในส่วนนี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ มาตรา 184 ของรัฐธรรมนูญปี 2550


4. ในขณะที่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ..2548 โดยมีข้อความตอนหนึ่งที่ระบุว่า "อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ..2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย..." แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างบทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลนั้น เป็นรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ใช่ รัฐธรรมนูญปี 2540



5. คำถามที่เห็นชัดๆเบื้องต้นก็คือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ..2548 เป็นกฏหมายที่มีบทบัญญัติเฉพาะในบางมาตราบางประการของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เท่านั้น โปรดสังเกตว่า จะมีมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 39 มาตรา 44 มาตรา 48 มาตรา 50 และมาตรา 51


แต่ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการอ้างอาศัยอำนาจตามความในมาตรา


5 และ มาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.2548 ซึ่งเป็นฉบับเดียวกัน แต่อ้างบทบัญญัติบางมาตราบางประการที่แตกต่างกัน คือ อ้างมาตรา 29 ประกอบมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ซึ่งแตกต่างกันเกือบทุกมาตราเมื่อเทียบกับวรรคแรก


6.


ถึงแม้ว่า ข้อความของมาตราทั้งหมดดังกล่าว เมื่อเทียบกันแล้วจะเหมือนกันทุกประการ แต่พระราชกำหนดในเรื่องนี้ มีเพียงฉบับเดียวเท่านั้นที่มีผลบังคับใช้คือฉบับ พ..2548 ที่มีข้อความปรากฏโดยไม่เคยมีการแก้ไขใดๆมาก่อนเลย ดังนั้น ฉบับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอ้างอาศัยอำนาจนั้น ทำไมจึงมีข้อความระบุบทบัญญัติ(มาตรา)ผิดไปจากพระราชกำหนดฉบับเดิม


7.


ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่า ในการใช้อำนาจตามบทบัญญัติทางกฏหมายในรูปของพระราชกำหนด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการใช้รัฐธรรมนูญมาเป็นฉบับใหม่ รัฐบาลสามารถเปลี่ยนแก้ไขบทบัญญัติตามมาตรา(เดิม)จากรัฐธรรมนูญฉบับเก่า มาเป็นมาตรา(ใหม่) ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันที


8.


กรณีเช่นนี้ สมมตหากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ไม่มีบทบัญญัติในมาตราที่เหมือนกับมาตรา 29 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะกระทำได้หรือไม่ แล้วจะอ้างมาตราข้อไหน


9.


พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.2548 เป็นการอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2540 ดังนั้น เมื่อมีการยกเลิกการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เท่ากับว่าพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.2548 ได้ถูกยกเลิกไปโดยปริยายเช่นเดียวกัน


10.


หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการให้มีการใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ก็หมายความว่า รัฐบาลนี้ต้องออกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.. 2552 หรือ 2553 มาก่อน หรือ พ..2548 แก้ไขปี พ..........(ไม่ใช่ออกโดยอาศัยอำนาจตามฉบับปี 2548 ที่ไม่มีการแก้ไขใดๆ)และต้องอ้างการอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เท่านั้น


จากเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมด จึงน่าจะสรุปได้ว่า การออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 และในครั้งต่อๆมานั้น เป็นการออกประกาศโดยไม่มีกฏหมายใดๆรองรับ ประกาศ ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกมาทั้งหมดจึงต้องตกเป็นโมฆะ การสั่งการใดๆ การกระทำใดๆที่อ้างอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายมาตั้งแต่ต้น


ที่สำคัญ การกระทำที่ผิดกฏหมายทั้งหมดนี้ เป็นจุดเริ่มของการก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน การบาดเจ็บของผู้คนจำนวนมาก ผู้ที่สั่งการมาทั้งหมดต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าต่อมาจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ความผิดที่ผ่านมาถือได้ว่า ได้กระทำสำเร็จแล้ว


ท้ายสุดจึงอยู่ที่ว่า ทุกคนย่อมเคารพต่อคำตัดสินของศาล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใจจดใจจ่อเฝ้าคอยฟังว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรต่อประเด็นที่ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชอบด้วยกฏหมายหรือไม่


สายตาทุกคนคงต้องจ้องอย่างไม่กระพริบตาเช่นเดียวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่บังเอิญเข้ามาในห้วงจังหวะเวลาเดียวกัน"


@@@@@@@@@

>>>> ภาพที่สร้างชื่อให้รัฐบาลเผด็จการของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทหารไทย

>>> 19-05-2010 ไม่เห็นมีทหารบนรางรถไฟฟ้าซักตัว อย่ามามั่ว‏

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก