ชาวดิน ออนเน็ต

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน
ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี
อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง
คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน

7 / มีนาคม / 2553
........


วันเสาร์, มีนาคม 07, 2552

รัฐบาลเขียว-เหลือง (แมลงสาบสองสีสองเพศ : แผนทำลายอำนาจเก่าและแผนเนรมิตฝันของป๋า)



เริ่มด้วยแผนสลายเสื้อแดงที่ถูกอ้างว่าเป็น
"โครงการสู้วิกฤติเศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" นั้น
ได้ถูกนำเอกสารลับออกมาเปิดโปง
แม้จะเป็นเพียงแค่เอกสารจากพาวเวอร์พ้อยต์ แต่ก็มีข้อมูลในห้องประชุมอย่างละเอียดยิบ
นั่นเป็นเพราะระเบียบปฏิบัติแบบทหาร ที่ทำต้องรายงานเป็นเอกสารไว้นั่นเอง

แน่นอนว่า กองทัพยังหน้าด้านออกมาปฏิเสธ

แต่ในเมื่อกองทัพที่ยังมีคราบ คมช.
ก็ยังทำแบบเดิม ที่มีการส่งกำลังทหารเข้าไปในหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ โดยหวังที่จะเปลี่ยนใจคนเหนือ คนอีสาน ไปจากทักษิณ และ ส.ส.ในพื้นที่ให้ได้ โดยหารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นหลักฐานอย่างดี ว่าทหารทำอะไร หวังอะไร

ทั้งๆที่เคยล้มเหลวมาเมื่อครั้งก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผลออกมา คนในอีสานไม่รับร่าง และถูกเรียกว่าเป็นพื้นที่สีแดงมาแล้ว หรือการเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 23 ธันวาคม 2550 ที่พรรคพลังประชาชนยังคงชนะขาดลอย แม้ว่าตอนนั้น คมช. จะส่งทหารเข้าพื้นที่ เพื่อสลายฐานเสียง ประกบหัวคะแนน แล้วสร้างฐานเสียงของตัวเอง
ก่อนมีข่าวทหารขอและสั่งให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อแผ่นดินซึ่งเป็นพรรคที่อดีตประธาน คมช.และ ผบ.ทบ. ในเวลานั้นร่วมก่อตั้ง

การเลือกตั้งครั้งนั้นแม้ว่า คมช. จะใช้ "ไม้เด็ด" ในโค้งสุดท้าย
ด้วยการประโคมข่าวเรื่องความไม่จงรักภักดีของทักษิณ ว่า ต้องการล้มล้างระบอบและมีความต้องการเป็นประธานาธิบดีคนแรกในเมืองไทย แต่ที่ผ่านมาชาวบ้านรู้ดีว่าทหารเข้ามาหวังผลทางการเมือง พวกเขายิ่งต่อต้านเงียบๆและพอถึงเวลา พวกเขาไม่เลือกตามที่ทหารบอก และไม่ยอมเกลียดทักษิณ ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น
(กรณีเรื่องประธานาธิบดีจะเห็นได้ว่า คมช. เปิดประเด็นมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมี เทพเทือก มาปูดข่าว จนถูก ทักษิณฟ้องร้อง)

ส่วนเทพเทือก ซึ่งเป็นผู้จัดการรัฐบาลชุดนี้
เป็นคนประสานที่ใกล้ชิดกับทั้ง นายพล ป.1 ที่ต่อมาได้เป็น รมว.กลาโหม และ นายพล ป.2 มาตลอด โดยการรวมกันล๊อบบี้ส.ส.พรรคร่วมและกลุ่มก๊วนเนวินให้แปรพักตร์ พลิกขั้วมาหนุน พรรคแมลงสาบ เป็นรัฐบาลนั่นเอง จนทำให้เทพเทือกได้มาเป็น รองนายกฯด้านความมั่นคงทั้งๆที่ภาพพจน์ของเทพเทือก แทบจะไม่สัมพันธ์เรื่องความมั่นคงมาก่อนเลย

การเปิดประเด็นเรื่องประธานาธิบดี จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่า เทพเทือกได้ข้อมูลมาจากใคร ไม่ต่างจาก ส.ส.ที่เคยร่วมวงตั้งรัฐบาลกับทหารในค่ายที่ก็ได้รับข้อมูลนี้กรอกหู

อย่างไรก็ตาม เหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงความเป็นพวกเดียวกัน จับมือกัน ของกองทัพโดยเฉพาะ ทบ.กับพรรคแมลงสาบ ปชป. และอาศัยม๊อบโกเต๊ก เดินเกมนอกสภาให้จนกลายมาเป็นรัฐบาลเขียว-เหลือง และมีแผนดำเนินการสกัดกั้นพรรคเพื่อไทยต่อเพื่อไม่ให้ กลับมาชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ในเมื่อกองทัพภายใต้การนำของ นายพล ป.2 แถมมี นายพล ป.1 เป็น รมว.กลาโหม อีกด้วย ก็ได้เอาตัวไปผูกติดรัดแน่นกับพรรคแมลงสาบ ตั้งแต่ไปช่วยพลิกขั้วรัฐบาล จนทำให้กองทัพต้องกลายเป็นเป้าโจมตีไปด้วยเช่นนี้

เพราะหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและทำให้พรรคร่วมกลับไปหนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง เมื่อนั้น นายพล ป.2 ที่ยังมีอายุราชการถึงปี 2553 จะลำบากและอาจถึงขั้นปลดจาก ผบ.ทบ. แม้แต่ นายพล ป.3 ที่จ่อคิวเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไปก็อาจจะแห้ว

นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาต้องใช้กองทัพ และ กอ.รมน. เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นการลากกองทัพมายุ่งการเมือง และทำร้ายทหารทั้งหมด แต่ว่า นายพล ป.2 ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

หลังจากการจับมือกันจนเป็นรัฐบาลเขียว-เหลืองแล้ว
กองทพยังถูกจับตามองไปที่การคลอดแผนพัฒนากองทัพหรือแผนการจัดซื้ออาวุธล็อตใหญ่
ที่ทั้งทหารก็ได้อาวุธส่วนฝ่ายการเมืองก็จะได้ทุนในการเลือกตั้ง
จึงไม่แปลกที่เมื่อนายเทพเทือกมาเยี่ยมกลาโหม จึงมีทั้ง รมว.กลาโหม ปลัดกลาโหม หรือมีแต่ ผบ.เหล่าทัพ มาต้อนรับกันอย่างพร้อมหน้า โดยมีการเสนอแผนพัฒนากองทัพและความต้องการซื้ออาวุธแทรกอยู่ในการบรรยายสรุปให้เทพเทือกรับฟังราวกับต้องการจะทวงบุญคุณที่ทหารได้ช่วยให้ได้เป็นรัฐบาล

ไม่แค่นั้น ทบ.ยังอาศัยบารมีป๋าในการเนรมิตฝันของป๋าที่อยากให้ตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 ที่จ.ขอนแก่น
เพื่อดูแลอีสานตอนบนและเพิ่มช่องทางให้ทหารม้าเติบโต จากเดิมที่มีแค่ 2 กองพล คือ พล.ม.1ที่ดูแลภาคเหนือ และ พล.ม.2 รอ. ที่ดูแล กทม.และภาคกลาง ซึ่งเป็นกำลังหลักปฏิวัติเท่านั้น แผนตั้ง พล.ม.3 จึงมีการระดมสมองทหารหัว เสธ.ทั้งหลายเพื่อเขียนแผน และเหตุผลต่างๆในการจัดตั้ง พล.ม.3
ทั้งๆที่ภัยคุกคามขนาดใหญ่ไม่ปรากฏในทิศนั้น

"ช่วยกันหน่อย เราอยากเห็นกองพลทหารม้าที่ 3 ก่อนเราตาย เราจะได้นอนตายตาหลับ" คำพูดที่ป๋าได้กล่าวกับบรรดาทหารม้าเมื่อช่วงปีใหม่ เป็นการทวงฝันและคำมั่นสัญญาที่ คมช. เคยให้ไว้

"ผมจะขอให้ รมต.ป้อมและป๊อกช่วยสนับสนุนด้วย พวกเราก็ต้องช่วยกันบอกนะ"ป๋ากล่าวต่อ

ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะใช้งบประมาณสูงและไม่ได้มีความจำเป็นอะไรมากนัก
แต่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เนื่องจากยุคนี้ บารมีของป๋าแรงกล้าทั้งต่อกองทัพและรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคแมลงสาบ รวมไปถึงม๊อบนอกสภาอย่างม๊อบโกเต๊ก โดยอาศัยบารมีป๋าเป็นหลักในการต่อสู้กับทักษิณ จนเกิดตุลาการภิวัตน์ และได้ชัยชนะ

รัฐบาลเขียว-เหลืองของพรรคแมลงสาบจึงมีความพยายามเนรมิตฝันของป๋าให้เป็นจริง เพราะนับวัน ป๋า ก็แสดงออกถึงการบอกฝ่าย ยิ่งเมื่อแต่งเพลง "ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ให้กับวงแฮมเมอร์ ที่เป็นขาประจำเวทีโกเต๊ก

ก็เป็นการตอกย้ำถึง
ความสัมพันธ์ของป๋ากับม๊อบโกเต๊ก
ความสัมพันธ์ของกองทัพกับม๊อบโกเต๊ก
ความสัมพันธ์ของพรรคแมลงสาบกับม๊อบโกเต๊ก
ว่าเกี่ยวข้องกันเพียงใด. . . .

http:โดย : เสียงประชาไทย //www.thaifreenews.com/?name=webboard&file=read&id=7561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก