นโยบายเฉพาะหน้าของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน”
1.เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเมืองการปกครอง คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
2.สามัคคีประชาชนไทย โดยมีมวลชนพื้นฐานเป็นกำลังหลัก ประสานกับผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรมทุกภาคส่วน ทั้งใน ภาคธุรกิจ พรรคการเมือง องค์กรศาสนา สถาบันการศึกษา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน เพื่อต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ของไทยให้ได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
3.ในการเคลื่อนไหว และปฏิบัติการใช้ แนวทางสันติวิธี
4.ผนึกการต่อสู้ทางเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาความยากจน ร่วมกับการต่อสู้ทางการเมือง โดยชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและทางรอดของประเทศชาติ ประชาชนไทยนั้น ต้องมาจากการเมืองที่อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชนเท่านั้น
5.ต่อสู้เพื่อให้ประเทศเป็น “นิติรัฐที่มีนิติธรรมอย่างแท้จริง”กระบวนการยุติธรรมต้องไม่ถูกแทรกแซง กดดัน โดยผู้มีอำนาจ และอำมาตย์ ต่อสู้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมสำหรับประชาชนไทยโดยเสมอหน้า “ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่สองมาตรฐาน”
6.ยกเลิกรัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย 2550 ให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่างๆต้องยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนโดยทั่วหน้า
__________________________________________________
ขอเชิญร่วมงานสัมนาสมาพันธ์ปัญญาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง“สิทธิ เสรีภาพบาทบาทของนิสิตนักศึกษากับการเรียกร้องประชาธิปไตย”
ในวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2552 เวลา 11.00-17.00น.
ณ มูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย
วิทยากรได้แก่ อ.มานิต จิตจันทร์กลับ และอ. อดิศรเพียงเกษ
มีใบประกาศให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
และสามารถสมัครเป็นสมาชิกสมาพันธ์ปัญญาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ในงาน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง http://www.decthailand.org/
กลุ่มคนเสื้อแดงอุบลราชธานี กว่า 200 คน ได้เคลื่อนขบวนมารวมตัวกันที่บริเวณสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี หลังทราบข่าวว่านายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ จะเดินทางประกอบภารกิจที่ จ.อุบลราชธานี ท่ามกลางการตรึงกำลังตำรวจชุดปราบจลาจลทั้งใน และนอกเครื่องแบบกว่า 100 นาย
อย่างไรก็ดี เมื่อใกล้เวลาเครื่องจะลงจอด กลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหมดกลับเคลื่อนขบวนออกจากสนามบินนานาชาติ มุ่งหน้าไปคอยต้อนรับนายอลงกรณ์ ที่บริเวณโรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นสถานที่เข้าพักของ นายอลงกรณ์ มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโล่กำบัง คอยสกัดกั้น 200 นาย จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.10 น. ขบวนรถตู้ทะเบียน นข 1313 อุบลราชธานี ที่มีนายอลงกรณ์ ได้ขับย้อนศรเข้าโรงแรมทางด้านประตูทางออกแทน ไม่สามารถขับรถเข้าโรงแรมได้ตามเส้นทางปกติ เพราะมีกลุ่มเสื้อแดงมาดักคอยอยู่เป็นจำนวนมากเกรงจะไม่ปลอดภัย แต่เมื่อกลุ่มเสื้อแดงเห็นรถขบวนของ รมช.พาณิชย์ ก็ได้วิ่งแตกกระจายกำลังฝ่ากำแพงโล่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นแรกเข้ามาได้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโล่กำบังชุดที่ 2 ต้องมาช่วยตั้งรับ และสกัดกั้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องขับไล่ จนรถตู้ของ รมช.พาณิชย์ แล่นผ่านเข้าไปในโรงแรม ทั้งนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด แต่โดยรอบโรงแรม โดยเฉพาะประตูทางเข้าทุกด้าน จะมีกำลังตำรวจยืนคอยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็งหลังจาก นายอลงกรณ์ เข้าพัก กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงปักหลักถือป้าย และตะโกนโห่ร้องขับไล่อยู่ด้านหน้าโรงแรม ซึ่งสร้างความสนใจแก่นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของนอกจากนี้ยังมีการใช้รถขยายเสียง ถึง 2 คัน จัดเป็นเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาล โดยไม่มีทีท่าว่าจะล่าถอย
นี่เป็นกลวิธีที่ดีครับสำหรับการเคลื่อนไหวของชาว นปช. อุบลราชธานี ให้มันเข้ามาในพื้นที่เรา แล้วเราก็ไปปราศัยโจมตีมันให้ใกล้ที่สุดที่จะทำได้ ไม่ต้องปะทะ ไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่ตกหลุมพรางมันที่พยายามจะทำให้เราเป็นผู้ร้ายในสายตาคนทั่วไป
ปัญหาการเมืองที่รุมเร้าดูเหมือนว่าจะมีเรื่องใหญ่ที่ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ นั่นคือการที่ กกต.ลงมติให้รัฐมนตรี และ ส.ส.ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ เนื่องจากถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ 13 คนของประชาธิปัตย์ถือว่ามีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างแน่นอน นอกจากนั้น มีเหลืออีก 44 คน ซึ่งจะมีทั้ง ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน หาก ส.ส.รัฐบาลโดนเข้าไปอีกมันคงจะป่วนพิลึก (ยังไม่รวม 16 ส.ว.นะเนี่ย)สำหรับประชาธิปัตย์มีนักการเมืองคนสำคัญก็คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่สำคัญคือตำแหน่งผู้จัดการรัฐบาล อีก 2 คนที่ดังไม่น้อยกว่ากันคือ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายจุติ ไกรฤกษ์ ซึ่งคนหลังนี้ผิดหวังกับเก้าอี้รัฐมนตรีมาแล้ว แน่นอน ว่า แม้จะยังต้องรอขั้นตอนคือให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดตามที่ กกต.ชี้หรือไม่ หากชี้ผิดก็เรียบร้อย รวมถึง 16 ส.ว. ที่กำลังจะมีการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสุดท้าย
อย่างไรก็ดี วุฒิสมาชิกกำลังหาวิธีการที่จะสู้อย่างสุดฤทธิ์เพื่อให้พ้นผิด ไล่ตั้งแต่ ประธานวุฒิสภาเลยทีเดียว หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าผิดก็ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ ซึ่งจะทำให้ต้องมีการเลือกตั้งและสรรหากันใหม่ หากรัฐบาลจะสู้ต่อ หมายความว่าเลือกตั้งซ่อมแล้วรอฟังผลว่าจะเท่าเดิม หรือต้องสูญเสียที่นั่งอันจะทำให้มีผลกระทบต่อเสียงสนับสนุน เพราะทุกวันนี้เสียงก็ปริ่มน้ำอยู่แล้ว ทำให้การประชุมสภาล่มมาหลายครั้ง และเป็นปัญหามาตลอด ถ้าได้เท่าเดิม หรือน้อยกว่านิดหน่อยก็พอจะถูไถไปได้ แต่ถ้าหายไปเพราะแพ้เลือกตั้ง มันจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ นั่นก็หมายความว่าก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินนายกฯคงต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเอาอย่างไรต่อไป"ยุบสภา" หรือ "หน้าด้าน"เป็นรัฐบาลต่อไป
เหนืออื่นใด ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเวลา หากศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการพิจารณานานล่วงเลยไปถึงปลายปี นั่น ก็หมายความว่างบประมาณผ่านเรียบร้อย เงินกู้ 8 แสนล้านเรียบร้อย การโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการผ่านฉลุย โอกาสที่นายกฯจะยุบสภาก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก็มีความเป็นไปได้ แม้ว่าประชาธิปัตย์ต้องการจะอยู่ยาวก็ตาม แต่แม้ว่าจะอยู่ต่อไปก็คงจะบริหารประเทศด้วยความลำบากมากขึ้น เพราะที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ช่วยให้ประเทศดีขึ้นเลย มีแต่จะแย่ลง
เรียกว่าเริ่มเข้าทางพวกเราเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย ที่มั่นใจว่ารัฐบาลคงอยู่ไม่รอดจนถึงปลายปีแน่ สงสัยว่า "บุญ" จะมีแค่นี้เอง แต่ก็ยังวางใจอันใดไม่ได้ เพราะกว่าจะได้มาเป็นรัฐบาล ต้องมีการปฏิวัติ ยุบพรรคไทยรักไทย แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่งพวกพ้องเข้าไปประจำในตำแหน่งหน้าที่สำคัญต่างๆ ทั้งองค์กรอิสระ ศาลบางศาล ยังไม่พอตามายุบพรรคพลังประชาชนได้อีก นับว่าทำได้ขนาดนี้ต้องมีพาวเวอร์ไม่น้อย แต่เสียที่ตอนนี้พวกมันเริ่มแตกคอกันเอง ทั้งภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง พรรคร่วมรัฐบาล พันธมิตร และรัฐธรรมนูญที่มันร่างไว้ว่าดีนักดีหนากำลังจะฆ่าตัวมันเอง จะออกหัวหรือก้อยยังไม่แน่ ที่แน่ๆจะส่งผลดีกับเราบ้างแน่นอน
สำนักข่าวกรอง DEC.
19/7/2552
เบสค รองประธานสมาพันธ์ปัญญาชนเพื่อประชาธิปไตย (DEC.)
เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ นปช.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น